บลจ.ยูโอบีมองธุรกิจกองทุนรวมปี 2553สดใส คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ทั้งปี 25% ตั้งเป้าเอยูเอ็มเติบโตอีก 10,000 – 15,000 ล้านบาท เผยแผนปีหน้ารุกกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น รวมทั้งเน้นออกกองทุนให้หลายหลายมากขึ้น เตรียมออกกองทุนรวมต่างประเทศอีก 2 กองด้วยการใช้กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์เป็นต้นแบบทั้งที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง และผ่านกองทุนอีทีเอฟ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในปี 2553 โดยรวมแล้วมองว่าจะดีขึ้น และดีกว่าในปีนี้ด้วยซ้ำไป โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ภาวะเสรษฐกิจไม่ดี นักลงทุนจึงเกิดความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจโลก ก่อนที่ภาวะเศรษฐกกิจจะกระเตื้องขึ้นมาในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ของธุรกิจกองทุนยังปรับขึ้นไปได้เกือบ 20%
อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น และตลาดหุ้นดีขึ้น นักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้ธุรกิจกองทุนรวมในปีหน้าคาดว่าน่าจะเติบโตได้ประมาณ 25% ขึ้นไป
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายปรับเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท (เอยูเอ็ม) ในปี 2553 ขึ้นไปอีก 10,000 – 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 27% โดยในปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท และจะใช้งบโฆษณาและการประชาสพันธ์ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ใช้ไปประมาณ 10 ล้านบาท โดยจะมีการใช้งบประมาณดังกล่าวผ่านทางการจัดงานสัมมนา และตัวแทนขายมากขึ้น
สำหรับแผนงานในปี 2553จะรุกกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวท ฟันด์) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (โพรวิเดนท์ ฟันด์) มากขึ้น รวมทั้งเน้นออกกองทุนที่มีความหลากหลาย ซึ่งในส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) จะออกมาเพิ่มขึ้น โดยมีสินทรัพย์ที่ให้ความสนใจอย่างทองคำ เป็นต้น
และยังมีกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพทั้งแบบที่ลงทุนในประเทศ และในต่างประเทศ แต่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่วมกับธนาคารยูโอบี นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมหุ้น เพราะมองว่าในปีหน้าตลาดหุ้นดี หากภาวะเศรษฐกิจดี และอัตราดอกเบี้ยยังนิ่ง น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนในหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทจะออกกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ประมาณ 2 กองทุน โดยกองทุนแรกจะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศอื่น แต่จะไม่ใช่การลงทุนในประเทศเดียว และภูมิภาคเดียว โดยเบื้องต้นจะลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่ในปีนี้ภาวะเศรษฐกิจจะมีอัตราเติบโตที่ดี เพราะว่าวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบน้อย ไม่ค่อยเจ็บตัวอย่างวิกฤตการณ์ครั้งที่ผ่านมานั่นเอง
ส่วนอีกกองทุนจะเข้าไปลงทุนผ่านทางกองทุนอีทีเอฟ แต่จะอยู่ในประเทศอื่น โดยทั้งสองกองทุนจะรูปแบบคล้ายกับกองทุนเปิดในซีรีส์กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ (UOBSS) ที่ตั้งผลตอบแทนเป้าหมายไว้
นายวนา กล่าวว่า ภายหลังจากปี 2552 มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ของตราสารหนี้ที่เข้าลงทุน ทำให้สามารถลงทุนในตราสารหนี้ในต่างประเทศได้มากขึ้น แต่คาดว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้จะปรับลดลงไป ทำให้ในปี 2553บริษัทให้ความสนใจขายกองทุนรวมหุ้นเป็นหลัก โดยในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของกองทุนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ปรับลดลงไปมาก และธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กมีการให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาก บริษัทจึงจำเป็นต้องหาสินค้ามาทดแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม การออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้อีกครั้งจะต้องพิจารณาในช่วงต้นปีหน้า หลังจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ปรับลดลงมา ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น และธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า โดยในปีหน้าหากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้กลับขึ้นไป หรือเท่าเดิม ก็จะมีการชะลอตัว และในปีหน้าอัตราดอกเบี้ยถึงไตรมาสแรกยังสูงอยู่หรือไม่ หากผลตอบแทนน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยก็ไม่สามารถออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ได้อีกแล้ว โดยในปัจจุบันสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูง
ส่วนการออกกองทุนตราสารหนี้ประเภทจัดโครงสร้าง (สตรักเจอร์ โน้ต) จะยังไม่ออกมาในปี 2553 เพราะว่าการออกกองทุนประเภทดังกล่าวต้องออกในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูง และเมื่อปิดความเสี่ยงของตราสารหนี้ดังกล่าวแล้วจึงจะนำส่วนต่างที่เหลือไปหากำไร ดังนั้น หากอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนน้อยลงไปด้วยการที่จะคุ้มครองเงินต้น 100% จึงเป็นเรื่องลำบาก เพราะว่าเงินที่จะนำไปซื้อออปชั่นน้อยลง ยกเว้นออกกองทุนที่คุ้มครองเงินต้นแค่ 90% ก็จะใช้เงินไปซื้อค่าประกันความเสี่ยงไม่มาก และนำส่วนต่างที่มากขึ้นไปหากำไรได้เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ ภายหลังจากการเข้าไปร่วมมือกับบริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) ในการขายกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์) ซึ่งได้แก่ กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท มิเลนเนียม โกรว์ธ (UOBSMG) มาให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนในช่วงที่ผ่านมาแล้ว บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อความร่วมมือกับบริษัทประกันชีวิตในการขายยูนิตลิงก์เพิ่มเติมอีก 3 รายด้วยกัน
นายวนา กล่าวว่า โปรแกรมเซฟวิ่ง แพลน ของบริษัทก็มีอยู่แล้ว โดยนักลงทุนเข้ามาซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพในช่วงปลายปีภาษี แทนที่จะซื้อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็สามารถทยอยซื้อสะสม ทำให้ไม่เสี่ยงมากเกินไป ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ก็สามารถซื้อได้ทุกกองทุน โดยสามารถหักผ่านบัญชีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง และหักบัญชีขั้นต่ำที่ 3,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับกองทุนที่นักลงทุนต้องการเข้าไปลงทุนด้วย
แต่ที่ผ่านมานักลงทุนจะเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนธรรมมากกว่า เพราะว่ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว สามารถเข้าลงทุนได้เต็มที่เท่าที่สามารถประหยัดภาษีได้ 500,000 บาทเท่านั้น