"อเบอร์ดีน" คาด เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวครึ่งปีแรกก่อนชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง โดยยุโรปยังไม่พ้นภาวะถดถอยอย่างแท้จริง ขณะที่เอเชีย จีนและอินเดีย ยังเติบโตต่อไปได้
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดารกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2553 ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจโลกในช่วงเข้าสู่ปี 2553 เป็นที่น่าพอใจมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะสูงขึ้นในปีใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจัยพื้นฐานของการฟื้นตัวยังไม่แข็งแกร่งนัก นโยบายการคลังจึงยังคงเป็นเครื่องค้ำจุนที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เพียงพอต่อการประคองเศรษฐกิจของตนเองต่อไป
โดยสหรัฐอเมริกา นั้นเห็นได้จากตลาดบ้านในสหรัฐฯ ยอดขายบ้านในตลาดรองที่ยังอยู่ในกระบวนการเซ็นสัญญาที่ลดลงอย่างหนักในเดือนพฤศจิกายนเป็นเครื่องแสดงว่าการที่ผู้ซื้อได้รับเครดิตภาษีคืนเป็นแรงจูงใจที่สำคัญยิ่งในการซื้อบ้าน ถึงแม้ว่าราคาบ้านจะลดลงไปมากแล้ว ซึ่งมาตรการจูงใจนี้ได้รับการขยายระยะเวลาออกไป การส่งเสริมการขายที่พุ่งสูงในช่วงก่อนหน้านี้เป็นผลดีต่อการบริโภค ดังนั้นหากการขายได้รับแรงกระตุ้นต่อไป การบริโภคจึงอาจจะฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น โดยสรุปแล้ว อเบอร์ดีนเห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งแรกของปี 2553 และจะชะลอตัวลงในครึ่งหลังของปี
ขณะที่ยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในขณะนี้ถือว่ายังไม่พ้นจากภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ มีหลักฐานจากการสังเกตที่ชี้ว่ายอดขายปลีกในช่วงวันหยุดยาวไม่ได้ลดน้อยลงอย่างที่เกรงกลัวกัน อย่างไรก็ตามการนำอัตราภาษีขายที่สูงขึ้นกลับมาใช้ (17.5%) ในเดือนมกราคม และการเตรียมขึ้นอัตราภาษีรายได้ขั้นบนสุด อาจจะยังเป็นปัจจัยบั่นทอนการเติบโตของธุรกิจในไตรมาสแรก การตัดสินใจของรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่เข้มงวดนโยบายการคลังให้เร็วขึ้นกว่าเดิมนั้น อาจจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่เอื้ออำนวย แม้จะมีข้อมูลว่าตลาดบ้านในสหราชอาณาจักรมีการขยายตัวในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปถือว่าแบ่งกลุ่มได้เป็นกลุ่มประเทศหลักที่ใช้เงินยูโรที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่า ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่กลุ่มประเทศรอบนอกที่ใช้เงินยูโร เช่น ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน และแม้แต่อิตาลี อาจจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเขตเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายถึงอัตราการฟื้นตัวที่ไม่สูงในช่วงปี 2553 – 2554 โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 16 ประเทศสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโรจะต่ำกว่าของสหรัฐฯ ด้านนโยบายการคลังจะเป็นหลักในการวัดอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้สกุลเงินยูโรด้วยกัน
ด้านเอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ พบว่าจีนอยู่ในเส้นทางของการเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2553 โดยมากกว่าในปีก่อน ซึ่งมีแรงหนุนหลักๆมาจากการส่งออก โดยที่บรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว (สหรัฐฯ) ยังคงมีการเพิ่มสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอินเดียซึ่งน่าจะอยู่ในเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในลาตินอเมริกา อุปสงค์ภายในประเทศควรจะฉุดให้เศรษฐกิจของบราซิลหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในปี 2553 โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 4% - 5% และประเทศในกลุ่มเดียวกันอย่างเช่น ชิลี เปรู และอาร์เจนตินา จะมีอัตราการเติบโตในระดับเดียวกันนี้ด้วย
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดารกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2553 ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจโลกในช่วงเข้าสู่ปี 2553 เป็นที่น่าพอใจมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะสูงขึ้นในปีใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัจจัยพื้นฐานของการฟื้นตัวยังไม่แข็งแกร่งนัก นโยบายการคลังจึงยังคงเป็นเครื่องค้ำจุนที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เพียงพอต่อการประคองเศรษฐกิจของตนเองต่อไป
โดยสหรัฐอเมริกา นั้นเห็นได้จากตลาดบ้านในสหรัฐฯ ยอดขายบ้านในตลาดรองที่ยังอยู่ในกระบวนการเซ็นสัญญาที่ลดลงอย่างหนักในเดือนพฤศจิกายนเป็นเครื่องแสดงว่าการที่ผู้ซื้อได้รับเครดิตภาษีคืนเป็นแรงจูงใจที่สำคัญยิ่งในการซื้อบ้าน ถึงแม้ว่าราคาบ้านจะลดลงไปมากแล้ว ซึ่งมาตรการจูงใจนี้ได้รับการขยายระยะเวลาออกไป การส่งเสริมการขายที่พุ่งสูงในช่วงก่อนหน้านี้เป็นผลดีต่อการบริโภค ดังนั้นหากการขายได้รับแรงกระตุ้นต่อไป การบริโภคจึงอาจจะฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น โดยสรุปแล้ว อเบอร์ดีนเห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งแรกของปี 2553 และจะชะลอตัวลงในครึ่งหลังของปี
ขณะที่ยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในขณะนี้ถือว่ายังไม่พ้นจากภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ มีหลักฐานจากการสังเกตที่ชี้ว่ายอดขายปลีกในช่วงวันหยุดยาวไม่ได้ลดน้อยลงอย่างที่เกรงกลัวกัน อย่างไรก็ตามการนำอัตราภาษีขายที่สูงขึ้นกลับมาใช้ (17.5%) ในเดือนมกราคม และการเตรียมขึ้นอัตราภาษีรายได้ขั้นบนสุด อาจจะยังเป็นปัจจัยบั่นทอนการเติบโตของธุรกิจในไตรมาสแรก การตัดสินใจของรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่เข้มงวดนโยบายการคลังให้เร็วขึ้นกว่าเดิมนั้น อาจจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่เอื้ออำนวย แม้จะมีข้อมูลว่าตลาดบ้านในสหราชอาณาจักรมีการขยายตัวในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปถือว่าแบ่งกลุ่มได้เป็นกลุ่มประเทศหลักที่ใช้เงินยูโรที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่า ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่กลุ่มประเทศรอบนอกที่ใช้เงินยูโร เช่น ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน และแม้แต่อิตาลี อาจจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเขตเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายถึงอัตราการฟื้นตัวที่ไม่สูงในช่วงปี 2553 – 2554 โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 16 ประเทศสมาชิกที่ใช้สกุลเงินยูโรจะต่ำกว่าของสหรัฐฯ ด้านนโยบายการคลังจะเป็นหลักในการวัดอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้สกุลเงินยูโรด้วยกัน
ด้านเอเชียและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ พบว่าจีนอยู่ในเส้นทางของการเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2553 โดยมากกว่าในปีก่อน ซึ่งมีแรงหนุนหลักๆมาจากการส่งออก โดยที่บรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว (สหรัฐฯ) ยังคงมีการเพิ่มสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอินเดียซึ่งน่าจะอยู่ในเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในลาตินอเมริกา อุปสงค์ภายในประเทศควรจะฉุดให้เศรษฐกิจของบราซิลหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในปี 2553 โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 4% - 5% และประเทศในกลุ่มเดียวกันอย่างเช่น ชิลี เปรู และอาร์เจนตินา จะมีอัตราการเติบโตในระดับเดียวกันนี้ด้วย