xs
xsm
sm
md
lg

เงินทะลักบอนด์โสม4แสนล้าน ปี52มันนี่มาร์เก็ต-กองหุ้นรุ่งสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 กูรูชี้ปี52เงินทะลักลงทุนกองบอนด์โสมกว่า 4 แสนล้านบาท เผยหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นแต่ยังคึกคักน้อยกว่าจีน-อินเดีย ขณะเดียวกันฟันธง ตลาดหุ้นไทยรุ่งแน่หากเกิดสถาบันประกันเงินฝาก ขณะที่มอนิ่งสตาร์ไทยแลนด์ระบุ กองทุนมันนี่มาร์เก็ตได้ความความนิยมมากที่สุด ส่วนกองหุ้นเข้าป้ายเป็นอันดับ 2
 นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของการลงทุนในกองทุนรวมบ้านเรา ณ ปัจจุบัน ภาครัฐยังคงไม่ค่อยได้ให้ความสนับสนุนมากนัก ซึ่งจะเห็นได้ว่ากองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้เองนักลงทุนเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา หรือคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 400,000 ล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากอยู่ที่ไหลออกไปอยู่นอกประเทศ

 นอกจากนี้แล้วในอนาคตเมื่ออัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และกองทุนอาจจะมีการครบกำหนดของอายุกองทุนลง แต่เชื่อว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะยังไม่เทขายออกมา และอาจจะยังคงเข้าไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ต่อไป อย่างไรก็ตาม อนาคตสถาบันประกันเงินฝากเริ่มเข้ามาอย่างจริงจัง คาดว่าการลงทุนในหุ้นไทยอาจจะกับมาโตและกลับมาคึกคักอีกครั้ง

 ทั้งนี้ถ้าให้ย้อนกลับไปเมื่อช่วง 10 ปีก่อน จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวสูงมาก ซึ่งที่ผ่านมาเคยอยู่ที่ประมาณ 8% และช่วงกลางปีที่ผ่านมาก็เช่นกันตลาดหุ้นไทยเองก็ยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่    
  
 อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับประเทศจีน และอินเดียวแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังคงมีขนาดที่เล็กอยู่มาก 

 “มองว่าถ้าสภาวะการลงทุนอยู่ในช่วงปกติ ไม่มีปัญหาทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง คาดว่าพีอีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9.5 เท่าหรืออาจจะอยู่ที่ประมาณ 630 – 650 จุด หรือถ้ากรอบบนน่าจะอยู่ที่ 13 – 13.5 เท่า หรือประมาณ 800จุดได้ นอกจากนี้แล้วยังมองว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 จะรับการตอบรับเป็นอย่างดีมากว่าไตรมาส 2 และ 3”

 นายมนรัฐ  กล่าวต่ออีกว่า ภายหลังจากที่เปิดขายกองทุนเปิด วรรณ อิควิตี้ 20% ทริกเกอร์ ฟันด์ (ONE-TRIGGER) ไปนั้น สามารถระดมทุนยอดจองได้กว่า 119.96 ล้านบาท โดยกองทุนจะเริ่มเข้าจดทะเบียนกองกองทุนในวันที่ 28 ม.ค.53 และจะเริ่มเปิดขายรอบใหม่ในวันที่ 1 ก.พ. 53

 ทั้งนี้ การบริหารกองทุนดังกล่าว บริษัทจะบริหารแบบ Bottom up Approach และใช้กลยุทธ์ล็อคกำไร โดยไม่ได้เปรียบเทียบกับ Benchmark ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะเน้นการทำกำไรมากกว่า อยากให้ผู้ลงทุนมองที่ผลตอบแทนโดยรวม เมื่อกองทุนสามารถทำกำไรได้ ก็จะนำเงินมาเก็บไว้ เหมือนค่อยๆ หยอดกำไรใส่กระปุกไว้จนครบ 20%  ซึ่ง ดัชนีในปี2553 จะเป็นปีที่มีความผันผวน โดยคาดว่าจะขึ้นลงเฉลี่ยประมาณ 5-20%และช่วงที่กองทุนดังกล่าว ได้จดทะเบียนกองทรัพย์สินต่อสำนักงาน ก.ล.ต. นั้น ถือเป็นจังหวะที่ผู้จัดการกองทุนสามารถซื้อของได้ในราคาถูก เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ในช่วงขาลงพอดี

 
 ด้านกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัท มอนิ่งสตาร์ทรีเซิร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา กองทุนที่ไดรับการตอบรับมาเป็นอันดับ 1 ได้แก่กองทุนรวมตลาดเงินหรือมันนีมาร์เก็ต อันดับ 2 กองทุนรวมตราสารทุนที่มีขนาดใหญ่ และอันดับ 3 ได้แก่ กองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป

 นอกจากนี้แล้วเงินที่ไหลเข้ามามากที่สุดยังคงเป็นกองทุนมันนีมาร์เก็ต เพราะช่วงที่ผ่านได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ส่วนกองทุนที่ไม่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและคาดว่าจะค่อย ๆ หายไปได้แก่ กองทุนปิด ที่มีอายุโครงการ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือกองทุนที่เป็นประเภทโลโอเวอร์ เป็นต้น เนื่องจากว่าในอนาคตอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้การลงทุนจะมีการลงทุนที่อายุยาวมากขึ้น ส่งผลให้กองทุนจะมีจำนวนที่ลดลง

 
นักวิเคราะห์กองทุนรวม กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของการลงทุนหุ้นในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2552 ยังมีฟันด์โฟร์เข้ามามากตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากว่า ช่วง 2 เดือนหลังของปีนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้สิทธิตรงนี้ในการลดหย่อนทางภาษีได้

สำหรับกองทุนแอลทีเอฟ ที่ชนะ SET TR THB สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 อยู่ที่ 71.34% โดยมีด้วยกัน 4 กองทุน ซึ่งอันดับ 1 ได้แก่ ing thai value plus – Div LTF อยู่ที่ 79.83% อันดับ 2 ได้แก่ Tisco Div L/F Equity อยู่ที่ 78.07% อันดับ 3 ได้แก่ Manulife Strength Core L/F Eq อยู่ที่ 76.36% และอันดับ 4 ได้แก่ ING Thai Gond Govemance LTF อยู่ที่ 75.16%

โดยกองทุนดังกล่าวส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มปตท. เกือบทั้งหมด ซึ่งถือว่ามาเป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับสอง เป็นหุ้น ปตท. สผ. อันดับ 3 ธนาคารกรุงเทพ และอันดับ 4 หุ้น เอไอเอส โดยหุ้นทั้งหมดนี้จะ แต่ละบลจ. จะให้น้ำหนักการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป
กำลังโหลดความคิดเห็น