xs
xsm
sm
md
lg

นายกสมาคมบลจ.เปิดเเผนปี53 เดินหน้าสานงานต่อยกระดับSRO

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 
นายกสมาคมบลจ.แถลงแผนปี53  เดินหน้าสานต่อนโยบายการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมศึกษาข้อดีข้อเสียก่อนยกระดับสมาคมเป็นSRO จับมือสรรพากรหารือเกี่ยวกับกองทุนรวมRMFเพื่อให้ข้อสรุปเป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมตัว 15 บลจ.วางแผนให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม วางเป้าขยายฐานลูกค้าเก่าใหม่เพิ่ม ด้านการลงทุนแนะนักลงทุนระยะสั้นถือเงินสด 50% เพื่อความปลอดภัย จากสถานะการณ์ทางด้านการเมือง

 นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนรวม เปิดเผยว่า สำหรับเเผนงานประจำปี 2553 นี้ ทางสมาคมจะเดินหน้าในส่วนของนโยบายการบริหารงานสมาคมอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนงานที่ชัดเจนรองรับนโยบายในแต่ละด้านเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและบรรลุเป็นรูปธรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรม

 ทั้งนี้ สมาคมบลจ.จะทำการดำเนินการเพื่อยกระดับเป็น SRO โดยการสร้างความมั่นใจให้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ในเรื่องของโครงสร้างและบุคคลากรที่เหมาะสม พร้อมทั้งเสนอให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์(บล.)และสมาคมนักวิเคราะห์อยู่ภายใต้การกำกับเดียวกัน เพื่อให้มีการกำกับดูแลอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการกำกับดูและผู้ตัดการกองทุนและตัวแทนขาย โดยจะจัดให้มีตัวเเทนเพื่อไปดูงานเกี่ยวกับSRO ที่ประเทศเกาหลีใต้ที่มีการรวมเอา 3 สมาคมมาไว้ภายใต้การกำกับเดียวกัน และประเทศมาเลเซียที่มีการแยกทั้ง 3 สมาคม  จากนั้นนำมาพิจารณาและสรุปถึงข้อดีข้อเสียและความเหมาะสมต่อประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง

 ขณะเดียวกัน สมาคมจะดำเนินการต่อเนื่องในการพัฒนาบุคคลากรของสมาคมให้มีความรอบรู้ มีNetworking ที่จะเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ โดยการเข้าร่วมประชุมระดับภูมิภาค ระดับนานาชาติ และระดับโลก พร้อมทั้งศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์จากต่างประเทศจัดทำบทวิเคราะห์และเผยแพร่ให้กับบริษัทสมาชิกเพื่อนำไปใช่ประโยชน์เป็นประจำทุกไตรมาส

 
 นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สมาคมจะมีการรวบรวมประเด็นปัญหา แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่พบเกี่ยวกับกองทุนรวม RMF/LTF  และอื่นๆไปหารือร่วมกับกรมสรรพากรเพื่อให้นักลงทุนได้คำตอบที่ชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกันในประเด็นต่างๆที่นักลงทุนยังไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากกรมสรรพากรให้มีการดำเนินงานในเรื่องนี้

 "สำหรับประเด็นสำคัญที่ขณะนี้นักลงทุนยังมีข้อวิตกกังวลอยู่เกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมRMF ว่าเมื่อครบกำหนดอายุ 55 ปี แล้วมีการขายคืนหน่วยลงทุน หากนักลงทุนเข้าลงทุนใหม่จะต้องนับ 1 ใหม่หรือไม่ โดยนักลงุทนส่วนใหญ่ที่เข้าไปสอบถามยังกรมสรรพกรต่างได้รับคำตอบที่ไม่ตรงกัน ทำให้สมาคม บลจ.ได้คิดทามโปรเจกต์เดียวกับกรมสรรพากรเพื่อให้คำตอบที่นักลงทุนได้รับหรือสร้างความเข้าใจให้แก่นักลงทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งแก้ไขประเด็นของภาษีที่ติดกันโดนการประชุมและแก้ไขปัญหาด้วยกัน โดยเริ่มแรกสมาคมบลจ.จะส่งหนังสือเป็นรายลักษณ์อักษรถึงกรมสรรพากร จึงอยากแนะนำนักลงทุนที่อยู่ในเกณฑ์คลุมเคลืออย่าเพิ่งทำอะไรให้รอข้อสรุปที่แน่ชัดก่อนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง"นางวรวรรณ กล่าว

 ทั้งนี้ สมาคมบลจ.จะนำเสนอแนวทางการพัฒนาการออมเพื่อการเลี้ยงชีพให้ขยายวงกว้างออกไป โดยจะอยู่ในรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยสมาคมฯจะขอความร่วมมือให้ก.ล.ต. เป็นผู้นำในการผลักดันโครงการนี้ เพื่อความมั่นคงของผู้ที่เกษียณในอนาคต ตลอดจนเปิดเผยผลการดำเนินงานของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในภาพรวม(Industry Composite Return)บนเวบไซต์สมาคมเพื่อให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการกองทุนและสมาชิก

 "ข้อมูลที่ทางสมาคมได้จัดขึ้นบนเวบไซต์ของสมาคมนั้นมีความถูกต้องของข้อมูลไม่ต่ำกว่า 90% โดยมีข้อมูลเงินเข้าเงินออกในแต่ละเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม LTF /RMF กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ(Fixincom) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้สำหรับข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลที่ล่าช้าประมาณ 3 เดือนซึ่งข้อมูลล่าสุดเป็นของเดือนตุลาคม 2552 "นางวรวรรณ กล่าว

 นอกจากนี้   สมาคม บลจ. จะผลักดันให้มีการออกกฏระเบียบที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจรวมถึงการนำเสนอแก้ไขกฏระเบียบที่เป็นอุปสรรค และลดต้นทุนการผลิตในการประกอบธุระกิจ โดยสมาคมจะจัดทำแนวปฏิบัติด้านบัญชี เพื่อรองรับการบังคับใช้มาตรฐานบัญชีสากลด้วย รวมไปถึงการสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานที่ดี มีการพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานของบริษัทสมาชิก รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรม CSR ในระดับสมาคม เพื่อหวังผลการเผยแพร่และสร้างแนวทางในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมเป็นวงกว้างแก่บริษัทสมาชิก อีกทั้ง จัดให้มีการพัมนาหลักสูตรใหม่ ได้แก่หลักสูตรความรู้วำหรับผู้กำกับดูแลการปฏิบัติงาน(Compliance)รวมไปถึงกิจกรรมและการสัมนาต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน

 
 นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ บลจ.จะใช้แผนให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม โดยขณะนี้มีสมาชิกด้วยกัน 15 บลจ.จาก 20 บลจ. เนื่องจากบางบลจ.นั้นมีขนาดเล็กจึงไม่ได้เข้าร่วมเเผนงานี้ ซึ่งเป้าหมายปีนี้จะมีการขยายฐานลูกค้าใหม่และมีการเพิ่มฐานลูกค้าเก่า พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ในการนำเสนอการลงทุนในรูปแบบ การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ(Dollar cost average) รวมไปถึงการใช้สื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งส่งเสริมสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอย่างต่อเนื่อง และมีสโลแกนว่า "กองทุนรวม ใช้เงินน้อย ทยอยออม" โดยจะมีการแบ่งกลุ่มนักลงทุนออกตามเกณฑ์อายุ เก็บก่อนรวยก่อน สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่อายุ 23-30 ปี ในส่วนของแม่บ้านหรือนักลงทุนที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปี จะใช้สโลแกน เก็บก่อน เกษียญสบาย พร้อมทั้งปรับรูปแบบการนำเสนอโดยจะมีการบุกเข้าหากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นการลดหย่อนภาษีถึงที่ทำงาน สำหรับกิจกรรมดังกล่าว สมาคมได้รับงบประมาณมาจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 50% และ 15 บลจ.ร่วมกับสมาคมบลจ.อีก 50%
 ในส่วนของแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2553 คาดว่าจะมีโอกาสหดตัวลดลงจากปี 2552 ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะการระดมเงินฝาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนโดยตรง

                “ใคร ๆ ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น เพราะเราได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงคาดการณ์ว่าธนาคารพาณิชย์ก็พร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นกว่าปีก่อน การที่จะปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นก็ต้องมีการระดมเงินฝากเข้ามาเพิ่ม จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่กองทุนรวมอาจจะหดตัวลง”นางวรวรรณ กล่าว

                ในปี 2552 อุตสาหกรรมจัดการกองทุนมีมูลค่ารวม 2.58 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 19.26% โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมเติบโต 20.88% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10.52% และกองทุนส่วนบุคคลเติบโต 28.66%  โดยในส่วนกองทุนรวม ณ วันที่ 31 ต.ค. 52 มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ตั้งแต่ต้นปีเข้าสู่ธุรกิจกองทุนรวมประมาณ 154,098 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจกองทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 1.78 ล้านล้านบาท มีผู้ลงทุนประมาณ 2.2 ล้านคน

                นางวรวรรณ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 53 สำหรับนักลงทุนระยะสั้นควรถือเงินสดไว้ก่อนบางส่วนหรือประมาณ 50% ของพอร์ต เนื่องจากว่าขณะนี้สถานการณ์การเมืองไม่นิ่งพอ โดยปัจจัยทางการเมืองยังคงมีความเสี่ยงสูงสำหรับประเทศไทยในขณะนี้  ในส่วนของนักลงทุนระยะยาวเกิน 6 เดือน สามารถลงทุนในหุ้นได้ทันที เนื่องจากระดับดัชนีในปัจจุบันถือเป็นระดับที่เหมาะสม และลงทุนเพิ่มได้อีกเมื่อดัชนีปรับตัวลดลง

 สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในขณะนี้ ถือว่ายังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน โดยพี/อี ขณะนี้ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10-15% ถือว่าเป็นพีอีที่ไม่สูงมาก นักลงทุนสามารถที่จะเข้าลงทุนได้ แต่นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่ดีมีการจ่ายเงินปันผลและราคามีการปรับลดลง ซึ่งราคาที่ลดลงนั้นจะทำให้ราคาต้นทุนที่ได้นั้นถูกลง

   
             “ระดับ 700 จุดคือว่าพอถือต่อไปได้ แต่การซื้อต้องซื้อในช่วงที่หุ้นตก เพราะเราจะได้ราคาถูก แต่ต้องเน้นตัวที่มีพื้นฐานดีหน่อย มีการจ่ายเงินปันผลดี อย่างน้อยเฉลี่ยในตลาดตอนนี้ประมาณ 3% กว่า ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ พันธบัตรเกาหลีใต้หรือหุ้นกู้ หากราคาหุ้นตกลงไปมาก ๆ ก็ยังพออยู่ได้เพราะปันผลดี โดยในปีนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)จะมีกำไร 10-15%”นางวรวรรณ กล่าว

 ทั้งนี้ ในส่วนของปัจจัยทางด้านการเมืองมองว่าจะไม่รุนเเรงเหมือนเช่นที่ผ่านมาแต่ถือเป็นปัจจัยน้ำหนักข้างลบต่อการลงทุน โดยเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ไทยปรับตัวดีขึ้นมากกว่าเมื่อเทียบประเทศในฝั่งตะวันตก ยุโรป อีกทั้งการส่งออกของไทยก็ปรับตัวดีขึ้น นักลงท่องเที่ยวเริ่มที่จะกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงไม่อยากให้ปัจจัยทางด้านการเมืองเข้ามามีกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ 

 นางสาวอารยา ธีระโกเมน อุปนายกสมาคม และประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  กล่าวว่า ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของอุตสาหกรรมให้นักลงทุนทราบ โดยจะจัดทำเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลบริษัทจะรอดูผลตอบรับจากนักลงทุนว่าเป็นอย่างไรบ้างเพื่อนำมันปรับปรุงพัฒนาต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น