xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาลุยหุ้นแดนมังกร?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวเช่นนี้หลายคนก็มองว่าการฟื้นตัวเป็นไปอย่างเปาะบาง เเละพร้อมเสมอที่จะทรุดตัวลงหากมีวิกฤติหรือเหตุการณ์ใหม่ซัดเข้ามาอีกระลอก เเต่เท่าที่เห็นมีเพียงประเทศจีน ที่มีการเติบโตสูงกว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า กล่าวว่า เงินสกุลหยวนกำลังเผชิญแรงกดดันเพื่อให้แข็งค่ามากขึ้นทุกที แต่ที่ผ่านมาจีนก็ได้รักษาเสถียรภาพสกุลเงินของตนมาโดยตลอด โดยเราจะไม่ยอมทำตามแรงกดดันในรูปแบบใดก็ตาม ที่บีบบังคับให้เราปล่อยหยวนแข็งค่าผมได้บอกกับมิตรต่างชาติว่า คุณกำลังขอให้เราปล่อยหยวนแข็งค่า แต่ขณะเดียวกันพวกคุณก็นำการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบมาใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นการพยายามเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของจีนต่างหาก

โดยเงินหยวน ซึ่งผูกติดเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มาตั้งแต่กลางปี2551 เมื่อวิกฤตการเงินโลกเลวร้ายลง เป็นปัญหาขัดแย้งสำคัญระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับชาติคู่ค้าตะวันตก ซึ่งกล่าวหาว่า จีนต้องการให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อสินค้าส่งออกของตน โดยเงินหยวนอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ของชาติคู่ค้าส่วนใหญ่ในปีนี้ เนื่องจากผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดิ่งค่าลงทุกที แต่เศรษฐกิจจีนกลับดีดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ร้อนถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ต้องเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนว่านโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของแดนมังกรในปัจจุบันเข้าลักษณะการให้เงินอุดหนุนหรือไม่ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ สามารถนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนได้ เเละเงินหยวน ซึ่งไม่มีความผันผวน มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

นอกจากนั้นนายเวิน เจียเป่า ยังวิจารณ์รุนแรงกรณีชาติคู่ค้ายื่นเรื่องร้องเรียนจีนหลายเรื่องต่อองค์การการค้าโลก หรือดับเบิ้ลยูทีโอในปีนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า มีการร้องเรียนในปีนี้มากกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการงัดอุปสรรคทางการค้าทุกชนิดมาเล่นงานอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นการส่งออกของจีน แต่ก็มิได้เอ่ยว่ามีชาติใดบ้าง

สำหรับภาพร่วมเศรษฐกิจภายในแดนมังกรในปี 2553 นั้น เรามีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) และนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศเมื่อปีที่แล้ว ได้ช่วยลดทอนผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกต่อจีน ฉะนั้น การเลิกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่อง ที่เร็วเกินไป โดยในปีหน้าจีนจะยังคงใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลก แต่จะควบคุมการปล่อยสินเชื่อ และสกัดการพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์

"วิกฤตการเงินยังไม่จบลง ยังมีงานมากมายให้ต้องทำการยกเลิกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป อาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เพิ่งบรรลุผลสำเร็จ และอาจทำให้สถานการณ์เลวลงไปอีกก็ได้ นอกจากนั้น ขณะนี้กำลังเกิดความไม่สมดุลมากขึ้นจากการที่ภาคธนาคารปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบมากเกินไป ขณะที่หลายส่วนของเศรษฐกิจยังไม่มีความสมดุล ไม่มีความประสานกัน และไม่ถาวร ซึ่งจะเป็นการดียิ่งขึ้น หากไม่มีการปล่อยกู้ของธนาคารจีนมากอย่างเช่นที่เป็นอยู่"

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ปรับปรุงดีขึ้น โดยธนาคารต่างชะลอการปล่อยสินเชื่อลงอย่างมาก หลังจากช่วงครึ่งแรกของปี ยอดการปล่อยสินเชื่อพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ยอดการปล่อยสินเชื่อใกล้จะถึง 9.5 ล้านล้านหยวนในปีนี้ ซึ่งสูง 2 เท่าจากยอดรวมของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจแดนมังกรโตร้อยละ 8.9 ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งโตเร็วที่สุดในรอบปี หลังจากโตร้อยละ7.9ในไตรมาส2 และร้อยละ6.1 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการโตช้าที่สุดในรอบกว่าหนึ่งทศวรรษ ขณะที่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2552 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.4 อันเป็นผลจากการใช้จ่ายด้านสาธารณะมูลค่ามหาศาล ซึ่งจีนยังจำเป็นต้องกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

กูรูเเนะทยอยเก็บหุ้นจีน
โดยนักวิเคราะห์กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนประกาศยังคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงิน 1.73 แสนล้านดอลลาร์ก่อนสิ้นปี 2552 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเดิมที่ออกมา เพื่อให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวจากผลกระทบจากวิกฤติการเงินของโลกในช่วงปีที่ผ่านมา และมาตรการอัดฉีดเงินดังกล่าวช่วยลดผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความวิตกที่ว่าการปล่อยกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นอาจชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากที่ขยายตัว 8.9% ไตรมาส 3

ทั้งนี้ตลาดจีน, ฮ่องกง ปรับตัวลดลงแรงจากความกังวลมาตรการควบคุมภาวะฟองสบู่ เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่จะเห็นตลาดจีนปรับตัวลงตามข่าวมาตรการควบคุมภาวะฟองสบู่ ซึ่งเรายังคงแนะนำเช่นเดิมคือเก็บสะสมกองทุนจีนเพื่อรอเก็งกำไรหุ้นจีน Rebound เชื่อว่าพื้นฐานและการเติบโตในปีหน้ายังดี โดยเรายังคงแนะนำ TMBCHEQ ของ บลจ. ทหารไทย ซึ่งลงทุนใน ETF ที่ Track อัตราผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับ A Share index

ทางด้าน สุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจีนเมื่อเปรียบเทียบเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ พบว่า ภูมิภาคเอเชียยังถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุน เพราะเศรษฐกิจยังสามารถเติบโตได้อีก โดยเฉพาะภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่โตขึ้นประมาณ 8.8-8.9% ซึ่งมาจากตัวเลขเศรษฐกิจ การส่งออก ภาคการลงทุน รวมไปถึงการบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมไปถึงประเทศจีนทำให้จีดีพีปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 6.9 % ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจในอีกหลายประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 8% จนถึงติดลบในบางประเทศ ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ยอดขายบ้านปรับตัวลดลงตามไปด้วย

"จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในประเทศจีน เนื่องจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวล ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงไปอีก ซึ่งเป็นการคิดในด้านลบมากเกินไป โดยหากมองถึงภาพรวมเศรษฐกิจ จีนมีเงินทุนสำรองมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเงินดังกล่าวทำให้จีนสามารถที่จะนำเงินเหล่านี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจหรือทำอะไรได้อีกมากมาย จึงเป็นการยากมากที่จีนจะปล่อยให้เกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นได้"
กำลังโหลดความคิดเห็น