xs
xsm
sm
md
lg

จีนไม่สนชาติคู่ค้ากดดัน ลั่นไม่เพิ่มค่าหยวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าของจีน ขณะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสุดยอดแก้ปัญหาโลกร้อนที่กรุงโคเปนเฮเกน, เดนมาร์กเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2552 โดยล่าสุดเขาสวดยับชาติคู่ค้างัดมาตรการกีดกันการค้ามาเล่นงานจีน และกดดันให้จีนปล่อยเงินหยวนแข็งค่า - เอเอฟพี
เอเอฟพี – จีนประกาศชัดเจน ไม่ปล่อยเงินหยวนแข็งค่าตามเสียงเรียกร้องของต่างชาติ พร้อมกับสวดยับนโยบายกีดกันทางการค้า ที่หลายประเทศคู่ค้า รุมใช้เล่นงานจีน

นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนเมื่อวันอาทิตย์ (27 ธ.ค.) ว่า เงินสกุลหยวนกำลังเผชิญแรงกดดันเพื่อให้แข็งค่ามากขึ้นทุกที แต่ที่ผ่านมาจีนก็ได้รักษาเสถียรภาพสกุลเงินของตนมาโดยตลอด

“เราจะไม่ยอมทำตามแรงกดดันในรูปแบบใดก็ตาม ที่บีบบังคับให้เราปล่อยหยวนแข็งค่า” นายกรัฐมนตรีแดนมังกรระบุ

“ผมได้บอกกับมิตรต่างชาติว่า คุณกำลังขอให้เราปล่อยหยวนแข็งค่า แต่ขณะเดียวกันพวกคุณก็นำการกีดกันทางการค้าทุกรูปแบบมาใช้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นการพยายามเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของจีนต่างหาก” นายเวินกล่าว


เงินหยวน ซึ่งผูกติดเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มาตั้งแต่กลางปี2551 เมื่อวิกฤตการเงินโลกเลวร้ายลง เป็นปัญหาขัดแย้งสำคัญระหว่างรัฐบาลปักกิ่งกับชาติคู่ค้าตะวันตก ซึ่งกล่าวหาว่า จีนต้องการให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อสินค้าส่งออกของตน โดยเงินหยวนอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ของชาติคู่ค้าส่วนใหญ่ในปีนี้ เนื่องจากผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งดิ่งค่าลงทุกที แต่เศรษฐกิจจีนกลับดีดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ร้อนถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ต้องเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนว่านโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของแดนมังกรในปัจจุบันเข้าลักษณะการให้เงินอุดหนุนหรือไม่ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ สามารถนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนได้

นายเวินยังกล่าวย้ำด้วยว่า เงินหยวน ซึ่งไม่มีความผันผวน มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

นอกจากนั้น ยังวิจารณ์รุนแรงกรณีชาติคู่ค้ายื่นเรื่องร้องเรียนจีนหลายเรื่องต่อองค์การการค้าโลก หรือดับเบิ้ลยูทีโอในปีนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่า มีการร้องเรียนในปีนี้มากกว่าปีก่อน ๆ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการงัดอุปสรรคทางการค้าทุกชนิดมาเล่นงานอุตสาหกรรม ซึ่งเน้นการส่งออกของจีน แต่ก็มิได้เอ่ยว่ามีชาติใดบ้าง

สำหรับภาพร่วมเศรษฐกิจภายในแดนมังกรในปี2553 นั้น นายเวินยังคงมองอย่างระมัดระวัง โดยระบุว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (586,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) และนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศเมื่อปีที่แล้ว ได้ช่วยลดทอนผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกต่อจีน ฉะนั้น การเลิกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่อง ที่เร็วเกินไป โดยในปีหน้าจีนจะยังคงใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลก แต่จะควบคุมการปล่อยสินเชื่อ และสกัดการพุ่งขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์

“วิกฤตการเงินยังไม่จบลง ยังมีงานมากมายให้ต้องทำ… การยกเลิกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป อาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เพิ่งบรรลุผลสำเร็จ และอาจทำให้สถานการณ์เลวลงไปอีกก็ได้” เขาเตือน

นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีจีนยังชี้ด้วยว่า ขณะนี้กำลังเกิดความไม่สมดุลมากขึ้นจากการที่ภาคธนาคารปล่อยเงินกู้เข้าสู่ระบบมากเกินไป

“หลายส่วนของเศรษฐกิจยังไม่มีความสมดุล ไม่มีความประสานกัน และไม่ถาวร” เขาชี้ และเสริมว่า จะเป็นการดียิ่งขึ้น หากไม่มีการปล่อยกู้ของธนาคารจีนมากอย่างเช่นที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ปรับปรุงดีขึ้น โดยธนาคารต่างชะลอการปล่อยสินเชื่อลงอย่างมาก หลังจากช่วงครึ่งแรกของปี ยอดการปล่อยสินเชื่อพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ยอดการปล่อยสินเชื่อใกล้จะถึง 9.5 ล้านล้านหยวนในปีนี้ ซึ่งสูง 2 เท่าจากยอดรวมของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจแดนมังกรโตร้อยละ 8.9 ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งโตเร็วที่สุดในรอบปี หลังจากโตร้อยละ7.9ในไตรมาส2 และร้อยละ6.1 ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการโตช้าที่สุดในรอบกว่าหนึ่งทศวรรษ

ขณะที่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2552 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 8.4 อันเป็นผลจากการใช้จ่ายด้านสาธารณะมูลค่ามหาศาล แต่ระบุว่า จีนยังจำเป็นต้องกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น