xs
xsm
sm
md
lg

UOBAMชี้ตลาดหุ้นไทยยังสดใส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ยูโอบีชี้ตลาดหุ้นไทยเดือนต.ค. ทิศทางยังสดใส แนะให้น้ำหนักลงทุนหุ้นแบงก์ อสังหาริมทรัพย์วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มขนส่งมากกว่าตลาด ขณะที่ตราสารหนี้ให้ลงทุนระยะสั้นถึงระยะกลาง

รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารทุนในประเทศ SET Index มีแนวโน้มแกว่งตัวอยู่ในช่วง 700-760 จุดในเดือนตุลาคมนี้ แม้ว่าตลาดจะยังมีทิศทางที่สดใสแต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรในช่วงที่มีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 โดยบริษัทสนใจในหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มที่จะมากกว่าตลาดคาดการณ์ หุ้นที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันอย่างมาก หุ้นที่มีปัจจัยกระตุ้นให้ราคาปรับขึ้น (เช่น การควบรวมกิจการ) หรือฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปี 2552
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนตุลาคมนี้ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มขนส่งมากกว่าตลาด ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มสื่อสารให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
ทั้งนี้ ภาวะตลาดเดือนกันยายนที่ผ่านมา SET ปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 อย่างที่หนุนให้ SET ปรับตัวขึ้น 9.8% มาปิดที่ระดับ 717.07 จุด คือ 1) แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของรัฐบาล (ส่งผลดีต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เหล็ก และรับเหมาก่อสร้าง) 2) ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น (ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดที่ระดับ72.94 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 17 ก.ย.) และ 3) เงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามากสุดที่จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ตลาดไม่สามารถปรับตัวผ่านแนวต้านที่ 750 จุดได้ เนื่องจากแรงขายทำกำไร และการรอการประกาศผลประกอบการของไตรมาส 3
นอกจากนี้ แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในเดือนตุลาคม 2552 โดยปัจจัยด้านอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลที่จะประมูลไตรมาสสุดท้ายของปีคาดว่าจะลดความสำคัญในตลาดลง ในขณะที่ปัจจัยอื่น อาทิ ภาวะเศรษฐกิจ ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อทิศทางการลงทุนของนักลงทุน ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายน มีแนวโน้มอ่อนแรงลง
แต่อย่างไรก็ดี ผลการประมูลพันธบัตรที่เป็น Benchmark อายุ 5 ปี น่าจะได้รับผลกระทบจากการเทขาย พันธบัตร 5 ปี รุ่นเดิม เพื่อรอซื้อรุ่นใหม่ อาจส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นได้ โดยกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือนนี้คือลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลาง
ขณะที่สถานการณ์ในเดือนกันยายน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยแบบ Outright ต่อวันในเดือนกันยายน 2552 ของตลาดตราสารหนี้ลดลงเป็น 45.38 พันล้านบาทจาก 53.34 พันล้านบาทในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงคิดเป็นร้อยละ 0.95 และดัชนีหุ้นกู้ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงเช่นกันโดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 0.19 ณ สิ้นเดือนกันยายน ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 3.91 และมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 5.28 ปี
ในขณะที่ดัชนีหุ้นกู้ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 4.52 และอายุเฉลี่ยเท่ากับ 2.79 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุ โดยอัตราผลตอบแทนระยะสั้นตั้งแต่ อายุ 1 - 6 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.08 ถึง 0.10 พันธบัตรระยะสั้นอายุ 1-5 ปีปรับตัวพิ่มขึ้นร้อยละ 0.08 ถึง 0.26 พันธบัตรระยะกลางอายุ 6-10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 0.20 ถึง 0.31 และพันธบัตรระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.09 ถึง 0.34
กำลังโหลดความคิดเห็น