บิ๊กตลาดตราสารหนี้ชี้โครงการมาบตะพุดสะดุด ไม่กระทบตลาดตราสารหนี้ไทย เหตุบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่ระดมทุนในประเทศแม่มากกว่า แต่เตือนภาครัฐปรับตัวระวังเพื่อนบ้านดูดนักลงทุนต่างชาติ หลังพบเวียดนามขยับสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับเพียบ
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า จากกรณีผลกระทบจากการระงับ 76 โครงการที่ลงทุนในนิคมมาบตาพุดนั้นน่าจะเป็นผลกระทบต่อภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของไทยกับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในแง่ของการเข้ามาลงทุน
แต่ในส่วนของตลาดตราสารหนี้แล้วเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลกระทบมากนัก เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนด้านการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม มักจะระดมทุนในตลาดเงินระหว่างประเทศมากกว่าที่จะมาออกตราสารหนี้ในไทย
“ที่ผ่านมามีน้อยมาก จะมีก็อย่างบริษัทประกอบรถยนต์อย่างโตโยต้า ฮอนด้า เป็นต้น เนื่องจากบริษัทต่างชาติยังมองเมืองไทยเป็นเพียงฐานการผลิต ส่วนแหล่งในการระดมทุนนั้นมักจะระดมมาจากที่อื่นที่ต้นทุนอาจจะถูกกว่าด้วยเครดิตของบริษัทแม่ในต่างประเทศ แล้วจึงค่อยส่งเงินเข้ามาให้ที่นี่ใช้ในการผลิตในการลงทุน เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้จริงๆแล้วต้องถือว่ากระทบต่อตลาดตราสารหนี้น้อย”
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนโดยตรงในตลาดตราสารหนี้ของไทยนั้น ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับทรงๆ ไม่ได้มีสูงเหมือนกับในอดีตช่วงก่อนหน้าที่จะมีมาตรการสำรอง 30% ซึ่งตอนนั้นมีปริมาณเม็ดเงินลงทุนคงค้างสูงสุดประมาณ 130,000 ล้านบาท
แต่หลังจากที่มีการใช้มาตรการ 30% ปริมาณการลงทุนของต่างชาติก็ลดลงมา โดยหลังจากเลิกใช้มาตรการแล้ว ก็กระเตื้องขึ้นบ้างมาอยู่ที่ระดับประมาณ 50,000 – 70,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เพราะนักลงทุนต่างชาติ นอกจากหันไปใช้ช่องทางอื่นในการเข้ามาลงทุนแล้ว ในส่วนของตลาดตราสารหนี้เอง มองว่าหากลงทุนในตราสารหนี้เพื่อหวังผลตอบแทนในเรื่องดอกเบี้ยอย่างเดียวนั้น สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ค่อยน่าสนใจนัก ส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างอื่นด้วย เช่นกำไรจากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย และเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า
“ ถ้าหากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากดอกเบี้ย มักจะเป็นการลงทุนระยะกลางคือประมาณ 5-7 ปี แต่ถ้าลงทุนเพื่อหวังผลประโยชน์อื่นก็อาจจะลงทุนในระยะสั้นๆ 7 วัน - 30 วัน ส่วนเรื่องของการเก็งในเรื่องของดอกเบี้ยนั้น ต่างชาติอาจจะยังมองว่าตอนนี้ยังไม่น่าสนใจ เพราะทิศทางดอกเบี้ยถูกมองว่าคงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักและน่าจะเป็นขาขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงเน้นไปที่ผลตอบแทนอย่างอื่นมากกว่า จึงทำให้การลงทุนในช่วงนี้เป็นการเข้ามาลงทุนสั้นๆแล้วก็ออกไป” นายณัฐพลกล่าว
นายณัฐพล กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญในกรณีนี้ก็คือ ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านของไทยหลายประเทศได้มีการให้ความสำคัญกับการดึงดูดนักลงทุนไปลงทุนในประเทศของตนเองกันเป็นอย่างมาก เช่น ประเทศเวียดนาม ได้มีการลงทุนในเรื่องนิคมอุตสาหกรรม ปรับปรุงเรื่อง Infra structure เรื่องระบบการขนส่ง อย่างมากมาย เพื่อให้ต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุน ดังนั้นหากเรายังมีกรณีปัญหาอยู่เป็นระยะๆเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นและหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ารูปแบบการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในปัจจุบันไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของไทยในระยะยาวสักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ธรรมชาติของนักลงทุนต่างชาตินั้นจะเข้ามาลงทุนก็ต่อเมื่อมองเห็นโอกาสในการทำกำไร และมักจะมองผลตอบแทนในระยะสั้นๆมากกว่าในระยะยาว
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า จากกรณีผลกระทบจากการระงับ 76 โครงการที่ลงทุนในนิคมมาบตาพุดนั้นน่าจะเป็นผลกระทบต่อภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของไทยกับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในแง่ของการเข้ามาลงทุน
แต่ในส่วนของตลาดตราสารหนี้แล้วเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลกระทบมากนัก เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนด้านการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม มักจะระดมทุนในตลาดเงินระหว่างประเทศมากกว่าที่จะมาออกตราสารหนี้ในไทย
“ที่ผ่านมามีน้อยมาก จะมีก็อย่างบริษัทประกอบรถยนต์อย่างโตโยต้า ฮอนด้า เป็นต้น เนื่องจากบริษัทต่างชาติยังมองเมืองไทยเป็นเพียงฐานการผลิต ส่วนแหล่งในการระดมทุนนั้นมักจะระดมมาจากที่อื่นที่ต้นทุนอาจจะถูกกว่าด้วยเครดิตของบริษัทแม่ในต่างประเทศ แล้วจึงค่อยส่งเงินเข้ามาให้ที่นี่ใช้ในการผลิตในการลงทุน เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้จริงๆแล้วต้องถือว่ากระทบต่อตลาดตราสารหนี้น้อย”
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนโดยตรงในตลาดตราสารหนี้ของไทยนั้น ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับทรงๆ ไม่ได้มีสูงเหมือนกับในอดีตช่วงก่อนหน้าที่จะมีมาตรการสำรอง 30% ซึ่งตอนนั้นมีปริมาณเม็ดเงินลงทุนคงค้างสูงสุดประมาณ 130,000 ล้านบาท
แต่หลังจากที่มีการใช้มาตรการ 30% ปริมาณการลงทุนของต่างชาติก็ลดลงมา โดยหลังจากเลิกใช้มาตรการแล้ว ก็กระเตื้องขึ้นบ้างมาอยู่ที่ระดับประมาณ 50,000 – 70,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เพราะนักลงทุนต่างชาติ นอกจากหันไปใช้ช่องทางอื่นในการเข้ามาลงทุนแล้ว ในส่วนของตลาดตราสารหนี้เอง มองว่าหากลงทุนในตราสารหนี้เพื่อหวังผลตอบแทนในเรื่องดอกเบี้ยอย่างเดียวนั้น สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ค่อยน่าสนใจนัก ส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติจะต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างอื่นด้วย เช่นกำไรจากการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย และเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า
“ ถ้าหากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากดอกเบี้ย มักจะเป็นการลงทุนระยะกลางคือประมาณ 5-7 ปี แต่ถ้าลงทุนเพื่อหวังผลประโยชน์อื่นก็อาจจะลงทุนในระยะสั้นๆ 7 วัน - 30 วัน ส่วนเรื่องของการเก็งในเรื่องของดอกเบี้ยนั้น ต่างชาติอาจจะยังมองว่าตอนนี้ยังไม่น่าสนใจ เพราะทิศทางดอกเบี้ยถูกมองว่าคงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักและน่าจะเป็นขาขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติจึงเน้นไปที่ผลตอบแทนอย่างอื่นมากกว่า จึงทำให้การลงทุนในช่วงนี้เป็นการเข้ามาลงทุนสั้นๆแล้วก็ออกไป” นายณัฐพลกล่าว
นายณัฐพล กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญในกรณีนี้ก็คือ ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านของไทยหลายประเทศได้มีการให้ความสำคัญกับการดึงดูดนักลงทุนไปลงทุนในประเทศของตนเองกันเป็นอย่างมาก เช่น ประเทศเวียดนาม ได้มีการลงทุนในเรื่องนิคมอุตสาหกรรม ปรับปรุงเรื่อง Infra structure เรื่องระบบการขนส่ง อย่างมากมาย เพื่อให้ต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุน ดังนั้นหากเรายังมีกรณีปัญหาอยู่เป็นระยะๆเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นและหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ารูปแบบการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในปัจจุบันไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของไทยในระยะยาวสักเท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับความจริงที่ธรรมชาติของนักลงทุนต่างชาตินั้นจะเข้ามาลงทุนก็ต่อเมื่อมองเห็นโอกาสในการทำกำไร และมักจะมองผลตอบแทนในระยะสั้นๆมากกว่าในระยะยาว