xs
xsm
sm
md
lg

“พิชิต”วอนรัฐหนุนบลจ.ลุยธุรกิจอื่นได้ พร้อมเปิดเสรีอินโนเวชั่นเพิ่มช่องลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พิชิต อัคราทิตย์
กองทุนรวมโตสวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ “พิชิต” ชี้ สะท้อนโครงสร้างการออมเปลี่ยน กองทุนมีบทบาทแทนแบงก์มากขึ้น วอนภาครัฐ ให้ความเท่าเทียมในแง่การแข่งขัน ตัดพ้อ สถาบันการเงินอื่น เปิดบลจ.ได้ แต่บลจ.ทำธุรกิจอื่นไม่ได้เลย พร้อมหนุนเปิดเสรี อินโนเวชั่นมากขึ้น ด้านกูรูการลงทุนแนะ เสี่ยงลงทุนตราสารหนี้ เหตุดอกเบี้ยขยับขึ้นล่วงหน้ารับศก.ฟื้นแล้ว
 

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ของกองทุนรวมทั้งระบบมีอัตราการเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตด้วยซ้ำ โดยล่าสุด เอ็นเอวีรวมทั้งระบบอยู่ที่ 1.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงต่ำสุดที่ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งลดลงจาก 1.63 ล้านล้านบาทในช่วงต้นของวิกฤตการเงินโลกในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ สาเหตุของการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะดังกล่าว น่าจะเป็นผลจากการโยกเงินของนักลงทุนเพื่อหนีความเสี่ยง รวมถึงการโยกเงินจากเงินฝากเพื่อหาผลตอบแทนที่มากขึ้นและไม่เสี่ยงมากนัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างของระบบสถาบันการเงินในฝั่งของผู้ออมและผู้ลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมีโครงสร้างขององทุนรวมเข้ามาทำหน้าที่แทนธนาคารพาณิชย์มากขึ้น

 “ขณะนี้ผลกระทบของอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ สามารถกู้คืนกลับมาได้หมดแล้วยังเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงวิกฤตถึงเท่าตัว ซึ่งตัวเลขนี้บอกได้ว่าโครงสร้างทางการเงินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยกองทุนรวมกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นเป็น 27.80% แล้ว”นายพิชิตกล่าว
ในขณะที่ผลกระทบต่อตลาดทุน นายพิชิตกล่าวว่า ผลจากเงินทุนเริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้มูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 ล้านล้านบาทแล้ว หลังจากลดลงไปต่ำสุดที่ 3.1 ล้านล้านบาทจากมาร์เก็ตแคปเดิม 6.4 ล้านล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวกล่าวคิดเป็น 2 ใน 3 ของมาร์เก็ตแคปเดิม และเหลืออีก 1 ใน 3 หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย จึงจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้

 ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ มองว่ายังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้อีก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มรับความเสี่ยงได้มากขึ้นและหันกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เงินลงทุนต่างชาตเองไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยแล้วถึง 4 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกไปก่อนหน้านี้ 2 แสนล้านบาท
 หนุนเปิดเสรีอินโนเวชั่นใหม่

 นายพิชิตกล่าวต่อว่า ปัจจุบันการกำกับดูแลสถาบันการเงินของภาครัฐ ยังไม่มีความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในแง่ของการแข่งขัน โดยเฉพาะในธุรกิจกองทุนรวม ซึ่งขณะนี้ถูกจำกัดอยู่เพียงอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น ในขณะที่สถาบันการเงินอื่นๆ สามารถประกอบธุรกิจอื่นได้ด้วย ดังนั้น จึงต้องการให้มีการเปิดกว้างมากขึ้น เพราะในต่างประเทศ เรื่องนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์ในการดูแลผลประโยชน์ของผู้ลงทุนทั่วไป

 “สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมในตอนนี้คือ การกำกับดูแลอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ แต่อย่างอื่นกลับมีการป้องกันเอาไว้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินประเภทอื่น สามารถประกอบธุรกิจกองทุนรวมได้ แต่ธุรกิจกองทุนรวมกลับไม่สามารถประกอบธุรกิจอื่นได้เลย”นายพิชิตกล่าว

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการเปิดเสรีในด้านอินโนเวชั่นหรือผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ไทยเอง ถือว่าแตกต่างจากต่างประเทศค่อนข้างมากเช่นกัน
แนะเบรกลงทุนตราสารหนี้

 นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้มีการปรับตัวขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการปรับล่วงหน้ารับข่าวแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น หลังจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตราสารหนี้เอาไว้ก่อน โดยอาจจะรอให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยมีความชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ก่อนเข้าไปลงทุน

 ทั้งนี้ หากต้องการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนอายุยาวตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปแทน เพราะยังให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันกองทุนประเภทเทอมฟันด์ หรือกองทุนปิดที่ล็อกอายุไว้ ก็สามารถลงทุนได้เช่นกัน แต่กองทุนต่างประเทศจะน่าสนใจกว่า เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยพันธบัตรเกาหลียังน่าสนใจอยู่ ถึงแม้ผลตอบแทนจะลดลงมาค่อนข้างมากก็ตาม

 สำหรับการลงทุนในหุ้น ยังแนะนำว่าสามารถลงทุนได้ โดยให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับน้ำหลักตลาด ซึ่งตั้งแต่ต้นที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปแล้วถึงกว่า 60% รวมเงินปันผล แต่ถือว่ายังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย ที่ขยับขึ้นไปถึง 81% เวียดนาม 80.52%

ทั้งนี้ เป็นเพราะประเทศเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นกระแสเงินจึงไหลเข้าไปลงทุนค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนแล้ว กลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออก เช่น เกาหลีใต้ ใต้หวัน รวมถึงไทย จะมีกระแสเงินไหลเข้ามากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น