หากไม่มีอะไรผิดพลาดนัก ต้นเดือนตุลาคมนี้ ตลาดเอ็ม เอ ไอ จะมีหุ้นน้องใหม่ชื่อ "MOONG" เข้ามาซื้อขายในกระดานเป็นแน่แท้ "ที่เราเลือกใช้ชื่อย่อ แบบนี้ เพราะชื่อดังกล่าวเป็นที่คุ้นเคย หรือเป็นคำติดปากยามเมื่อลูกค้า ใช้เรียกเรา เสมอ แม้แต่ข่าวสารบริษัทที่มีออกไปก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่มักจะโดนย่อจนเหลือแต่ "มุ่งฯ" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น "
สุเมธ เลอสุมิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากับ ASTV ผู้จัดการรายวัน ว่า บริษัทฯได้เตรียมการเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นมาร่วม 1 ปีกว่า แต่ติดภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของดัชนีฯในช่วงที่ผ่านมา จึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก แต่ยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้เช่นเดิม จนในที่สุดก็ใกล้ถึงกำหนดเวลาที่ตั้งใจไว้แล้ว
ทั้งนี้ บริษัท มุ่งพัฒนาฯ ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค(Trading) ผ่านช่องทางที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 8,000 แห่ง ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็กภายใต้ตราสินค้าพีเจ้น(Pigeon) กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในครัวเรือนและของใช้ประจำวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วน 80%ของรายได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าอีก 3 แห่ง(ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัทในญี่ปุ่น) ได้แก่ บริษัท ไทยพีเจ้น จำกัด (TP) ผู้ผลิต ขวดนม จุกนม ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ในสัดส่วน47% ,บริษัท โยชิโน มุ่งพัฒนา (ประเทศไทย) (YMP) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกในสัดส่วน 2.5% และ บริษัท พีเจ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตแผ่นซับน้ำนม และผ้าเช็ดทำความสะอาดผิว ในสัดส่วน 6%
ดังนั้นจุดเด่นของบริษัทฯ อยู่ที่การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าพีเจ้นที่ผลิตในประเทศแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มพันธมิตรการค้า "พีเจ้น"มาเป็นเวลาเกือบ 30ปี ซึ่งเป็นตราสินค้าที่ผู้บริโภคโดยเฉพาะแม่และแกต่างรู้จักและเชื่อมั่นในคุณภาพมายาวนาน นอกจากนี้แต่ละปียังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าทั้ง 3 บริษัทมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้นายสุเมธ มั่นใจว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ตัวเลข 2 หลัก เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมาๆ ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 -2551 บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 25% ขณะที่ในปี 2552 แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ผลดำเนินงานครึ่งปีแรกบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น 5% และครึ่งปีหลังซึ่งปกติจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า ทำให้บริษัทฯมั่นใจอัตราการเติบโตจะมากกว่าช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และ 6 เดือนแรกของปีนี้แน่
ก้าวแรกกับตลาดหุ้น
โดย การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯจะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายนักลงทุนทั่วไป 24 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณ 4 ล้านหุ้น ในระหว่างช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ส่วนอีก 2 ล้านหุ้นจะเสนอขายให้ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท (โดยราคาที่เสนอขายจะมีส่วนลดไม่เกิน25%จากราคาไอพีโอ และห้ามขายภายใน12 เดือนนับจากวันไอพีโอ) และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในกระดานได้ในต้นเดือนตุลาคม
"เดิมผมและครอบครัวถือหุ้นในมุ่งพัฒนาฯกว่า 90% ซึ่งภายหลังจากขายหุ้นไอพีโอแล้ว ทั้งผมและครอบครัวจะถือหุ้นประมาณ 74% ขณะที่หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งคาดว่าจะลดลงเหลือไม่ถึง 1 เท่า หลังจากได้รับเงินจากการขายหุ้นไอพีโอ "
เพราะเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น คาดว่าจะมีประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยจะนำไปชำระหนี้สินเชื่อ-ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ใช้เป็นทุนหมุนเวียน และนำไปจัดตั้งบริษัทตัวแทนรับจำหน่ายสินค้าโดยอาศัยช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม 8,000 แห่งทั่วประเทศเป็นจุดเด่น
ขณะเดียวกัน การเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ นอกจากช่วยในด้านเงินระดมทุนให้แก่บริษัทแล้ว มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้ลดลง 10% นับว่ามีส่วนช่วยฐานะทางการเงินบริษัทได้ดียิ่งขึ้นจากเดิมที่ต้องจ่ายปีละ 4-5 ล้านบาท นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อธนาคารก็จะปรับตัวลงจากเดิมที่ต้องจ่ายปีละ 8 ล้านบาทเช่นกัน
"เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตสวนกับภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้ในปีนี้และปี 2553 อัตราการเติบโตจะยังเป็นตัวเลข 2 หลักแน่ อีกทั้งด้วยความเป็นผู้นำในตลาดที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า จะยิ่งเป็นสิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นของเรา รวมทั้งในครั้งนี้จะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50%ของกำไรสุทธิก่อนที่จะเข้าซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของเราด้วย "
สำหรับผลดำเนินงานงวดก่อนๆของ บริษัท มุ่งพัฒนาฯ พบว่า ในปี 2549 มีรายได้ 265.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24.1 ล้านบาท ขณะที่ปี 2550 มีรายได้ 323.1 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 28.4 ล้านบาท ส่วนปี 2551 มีรายได้ 376.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 53.9 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปี 2552 มีรายได้ 189.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกปี 2551 ซึ่งมีรายได้ 180.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ26.0 ล้านบาท โดยหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ว่าครึ่งปีหลัง 2552 รายได้-ยอดขายจะดีกว่าครึ่งปีแรก ทำให้เชื่อว่ารายได้-กำไรในปีนี้ของบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเช่นกัน
"เมื่อเราได้เงินที่ขายหุ้นเข้ามา แน่นอนย่อมจะทำให้ขนาดของบริษัทใหญ่ขึ้นไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งทำให้เราต้องพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของบริษัท เพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่เชื่อมั่นและถือหุ้นของ MOONG "
สุเมธ เลอสุมิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากับ ASTV ผู้จัดการรายวัน ว่า บริษัทฯได้เตรียมการเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นมาร่วม 1 ปีกว่า แต่ติดภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของดัชนีฯในช่วงที่ผ่านมา จึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก แต่ยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้เช่นเดิม จนในที่สุดก็ใกล้ถึงกำหนดเวลาที่ตั้งใจไว้แล้ว
ทั้งนี้ บริษัท มุ่งพัฒนาฯ ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายและเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค(Trading) ผ่านช่องทางที่ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 8,000 แห่ง ใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์แม่และเด็กภายใต้ตราสินค้าพีเจ้น(Pigeon) กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในครัวเรือนและของใช้ประจำวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกและบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นสัดส่วน 80%ของรายได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกันส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าอีก 3 แห่ง(ซึ่งร่วมลงทุนกับบริษัทในญี่ปุ่น) ได้แก่ บริษัท ไทยพีเจ้น จำกัด (TP) ผู้ผลิต ขวดนม จุกนม ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ในสัดส่วน47% ,บริษัท โยชิโน มุ่งพัฒนา (ประเทศไทย) (YMP) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกในสัดส่วน 2.5% และ บริษัท พีเจ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตแผ่นซับน้ำนม และผ้าเช็ดทำความสะอาดผิว ในสัดส่วน 6%
ดังนั้นจุดเด่นของบริษัทฯ อยู่ที่การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าพีเจ้นที่ผลิตในประเทศแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มพันธมิตรการค้า "พีเจ้น"มาเป็นเวลาเกือบ 30ปี ซึ่งเป็นตราสินค้าที่ผู้บริโภคโดยเฉพาะแม่และแกต่างรู้จักและเชื่อมั่นในคุณภาพมายาวนาน นอกจากนี้แต่ละปียังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าทั้ง 3 บริษัทมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้นายสุเมธ มั่นใจว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ตัวเลข 2 หลัก เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมาๆ ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 -2551 บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 25% ขณะที่ในปี 2552 แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวแต่ผลดำเนินงานครึ่งปีแรกบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น 5% และครึ่งปีหลังซึ่งปกติจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า ทำให้บริษัทฯมั่นใจอัตราการเติบโตจะมากกว่าช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และ 6 เดือนแรกของปีนี้แน่
ก้าวแรกกับตลาดหุ้น
โดย การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯจะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 30 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายนักลงทุนทั่วไป 24 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณ 4 ล้านหุ้น ในระหว่างช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ส่วนอีก 2 ล้านหุ้นจะเสนอขายให้ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท (โดยราคาที่เสนอขายจะมีส่วนลดไม่เกิน25%จากราคาไอพีโอ และห้ามขายภายใน12 เดือนนับจากวันไอพีโอ) และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในกระดานได้ในต้นเดือนตุลาคม
"เดิมผมและครอบครัวถือหุ้นในมุ่งพัฒนาฯกว่า 90% ซึ่งภายหลังจากขายหุ้นไอพีโอแล้ว ทั้งผมและครอบครัวจะถือหุ้นประมาณ 74% ขณะที่หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.1 เท่า ซึ่งคาดว่าจะลดลงเหลือไม่ถึง 1 เท่า หลังจากได้รับเงินจากการขายหุ้นไอพีโอ "
เพราะเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น คาดว่าจะมีประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยจะนำไปชำระหนี้สินเชื่อ-ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ ใช้เป็นทุนหมุนเวียน และนำไปจัดตั้งบริษัทตัวแทนรับจำหน่ายสินค้าโดยอาศัยช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม 8,000 แห่งทั่วประเทศเป็นจุดเด่น
ขณะเดียวกัน การเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ นอกจากช่วยในด้านเงินระดมทุนให้แก่บริษัทแล้ว มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้ลดลง 10% นับว่ามีส่วนช่วยฐานะทางการเงินบริษัทได้ดียิ่งขึ้นจากเดิมที่ต้องจ่ายปีละ 4-5 ล้านบาท นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อธนาคารก็จะปรับตัวลงจากเดิมที่ต้องจ่ายปีละ 8 ล้านบาทเช่นกัน
"เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจของบริษัทจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตสวนกับภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้ในปีนี้และปี 2553 อัตราการเติบโตจะยังเป็นตัวเลข 2 หลักแน่ อีกทั้งด้วยความเป็นผู้นำในตลาดที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า จะยิ่งเป็นสิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้นของเรา รวมทั้งในครั้งนี้จะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50%ของกำไรสุทธิก่อนที่จะเข้าซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุนที่ซื้อหุ้นของเราด้วย "
สำหรับผลดำเนินงานงวดก่อนๆของ บริษัท มุ่งพัฒนาฯ พบว่า ในปี 2549 มีรายได้ 265.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24.1 ล้านบาท ขณะที่ปี 2550 มีรายได้ 323.1 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 28.4 ล้านบาท ส่วนปี 2551 มีรายได้ 376.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 53.9 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปี 2552 มีรายได้ 189.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกปี 2551 ซึ่งมีรายได้ 180.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ26.0 ล้านบาท โดยหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ว่าครึ่งปีหลัง 2552 รายได้-ยอดขายจะดีกว่าครึ่งปีแรก ทำให้เชื่อว่ารายได้-กำไรในปีนี้ของบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเช่นกัน
"เมื่อเราได้เงินที่ขายหุ้นเข้ามา แน่นอนย่อมจะทำให้ขนาดของบริษัทใหญ่ขึ้นไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งทำให้เราต้องพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของบริษัท เพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่เชื่อมั่นและถือหุ้นของ MOONG "