xs
xsm
sm
md
lg

2 บลจ.มองหุ้นจีนยังสดใส แนะนักลงทุนทยอยเข้าซื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.นครหลวงไทยมองหุ้นจีนยังสดใส และยังน่าลงทุน หลังจาก IMF ปรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้เป็น 8.5% และมีโอกาสรักษาการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และพีอียังต่ำกว่าหุ้นประเทศอื่นในเอเชีย ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว หลังจากออสเตรเลีปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ สอดคล้องกับบลจ.อเบอร์ดีนที่มองว่าหุ้นจีนยังมีทิศทางที่ดีอยู่เช่นกัน
นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร
นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นจีนยังมีความน่าสนใจและยังน่าลงทุนหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการณ์ปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 8.5% และ 9.0% ตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงนี้ได้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรจำนวนมาก และประชาชนเริ่มมีรายได้ที่สูงขึ้นทำให้มีความต้องการซื้อสินค้าต่างๆ มากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลจีนยังออกนโยบายทางการเงิน–การคลังต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพด้วย

นอกจากนี้ การที่ประเทศออสเตรเลียขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์สะท้อนถึงมุมมองว่าเศรษฐกิจของออสเตรเลียผ่านจุดตํ่าสุดไปแล้วและเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้วเช่นกัน เป็นผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงและนักลงทุนทั่วโลกเริ่มหันมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นโดยเห็นได้จากกระแสเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและเป็นผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาคปรับสูงขึ้นทันทีหลังประเทศออสเตรเลียประกาศขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ แม้ว่าราคาของดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง (HSCEI Index) มีการปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่ยังคงมีราคาต่ำกว่าหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่และยังต่ำกว่าหุ้นในภูมิภาค โดยพิจารณาจาก P/E Ratio (อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) ของดัชนี HSCEI ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 16 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E Ratio ของดัชนีหุ้นประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ประมาณ 19 เท่า ดังนั้น ดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงซึ่งอยู่ที่ประมาณ 12,000 จุด ยังถือว่าเป็นระดับที่ยังน่าสนใจสำหรับการเข้าไปลงทุน

นางสาววรรณจันทร์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง (HSCEI Index) ได้แก่ กองทุนเปิดนครหลวงไทย China Fund (SCI China Fund : SCI CH) ที่ได้ทำการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกไปเมื่อกลางเดือนกันยายน 2552 ที่ผ่านมาโดยเริ่มต้นที่หน่วยละ 10 บาท โดยมูลค่าหน่วยลงทุน (เอ็นเอวี) ของกองทุนดังกล่าวสิ้นสุด ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2552 อยู่ที่ 10.3140

สำหรับกองทุนเปิดนครหลวงไทย China Fund จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ Equity ETF เช่น Hang Seng H-Share Index ETF ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น H-share ขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง และจะลงทุนในรูปสกุลเงินดอลล่าร์ฮ่องกง

ขณะเดียวกัน ยังเป็นกองทุนที่มีเงื่อนไขอายุโครงการที่มีลักษณะพิเศษ โดยกองทุนจะมีอายุโครงการอยู่ที่ 1 ปี (กรณีที่ 1) หรือ เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 11.50 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน (กรณีที่ 2) โดยมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นมูลค่าก่อนหักค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) ทั้งนี้จะขึ้นอยู่ว่ากรณีที่ 1 หรือ กรณีที่ 2 จะเกิดขึ้นก่อน

นางสาววรรณจันทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า นักลงทุนที่สนใจลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท โดยคิดค่าธรรมเนียมการซื้อที่ไม่เกิน 1 % โดยนักลงทุนที่สนใจสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงทำให้มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงเทียบกับเงินบาท เนื่องจากกองทุนไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ด้าน บลจ.อเบอร์ดีน ได้รายงานถึงสถานการณ์ของบริษัทต่างๆที่ กองทุน อเบอร์ดีน ไชน่า เกท เวย์ ฟันด์ ลงทุนอยู่นั้น โดยระบุว่า ผลประกอบการในครึ่งปีแรกขององค์กรมีทั้งดีและไม่ดี แต่เครือบริษัทใหญ่ ของสไวร์ แปซิฟิค และ จาร์ดีน สเตรทติจิค ยังคงขยายธุรกิจเกี่ยวกับอุปโภคบริโภคต่อไป ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นช่วยหนุนตัวเลขกำไร ส่วนกำไรของบริษัท หลี่ หนิง ได้รับแรงหนุนที่ดีจากตราสินค้าที่แข็งแกร่งและการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดของบริษัท ขณะที่ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด แบงก์ ยังมีแรงหนุนจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจธนาคารเพื่อลูกค้ารายใหญ่ ในขณะที่งบดุลของธนาคารผู้ปล่อยกู้ เช่น วิง ฮัง แบงก์ และ ต้า ซิง แบงก์ ยังคงแข็งแกร่ง เช่นกัน

แต่ในขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานของ ปิโตรไชน่าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง แม้ว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมปลายน้ำจะดีขึ้น เนื่องจากการวางกรอบระเบียบของภาครัฐที่เอื้ออำนวยมากขึ้น ส่วน ไชน่า โมบายล์ ได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่กระแสเงินสดและงบดุลของบริษัทโทรคมนาคมยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งทำให้บริษัทสามารถคงอัตราการจ่ายเงินปันผลไว้ได้ในระดับเดิม

ทั้งนี้ อเบอร์ดีน ยังระบุด้วยว่า ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สินเชื่อรายใหม่ของจีนปรับลดลง 77% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งการลดลงอย่างรุนแรงนี้ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลและส่งผลให้ดัชนี แชงไฮ คอมโพสิท ร่วงลงมากกว่า 20% แต่การปล่อยกู้ที่ลดลงและการปรับฐานของตลาดหุ้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และทำให้การเก็งกำไรที่ไม่เป็นที่ต้องการอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบ
กำลังโหลดความคิดเห็น