บลจ.นครหลวงไทย ส่งกองทุนเปิดนครหลวงไทย China Fund หากำไรในหุ้นจีน เน้นลงทุนในตลาด H-share จำนวน 44 ตัว ชูกลยุทธ์ลงทุนแบบ Passive ล้อดัชนี HSCEI Index พร้อมเปิดโอกาสกำไรค่าเงิน โดยลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง และไม่ปิดความเสี่ยง เปิดไอพีโอประมาณ 16 – 28 ก.ย.นี้
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายกองทุนเปิดนครหลวงไทย China Fund (SCI CH) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ Equity ETF เช่น Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น H-share ขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงจำนวน 44 หุ้น และกำหนดสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 15% ต่อหุ้น เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง และไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ประมาณวันที่ 16 – 28 กันยายน 2552
โดยกองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน ซึ่งเงื่อนไขอายุโครงการมีลักษณะพิเศษ โดยกองทุนจะมีอายุโครงการอยู่ที่ 1 ปี (กรณีที่ 1) หรือ เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 11.50 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน (กรณีที่ 2) โดยมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นมูลค่าก่อนหักค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) ทั้งนี้จะขึ้นอยู่ว่ากรณีที่ 1 หรือ กรณีที่ 2 จะเกิดขึ้นก่อน นักลงทุนที่สนใจลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท โดยคิดค่าธรรมเนียมการซื้อที่ไม่เกิน 1 % และสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่ไม่สามารถขายออกไปก่อนกำหนดได้
นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านตราสารทุน บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนยังคงมีความต้องการที่จะแสวงหาการกระจายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ และจีนเป็นอีกประเทศที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่ถือได้ว่ามีการเจริญเติบโตสูง ซึ่งในปี 2552 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์การเติบโต GDP ของจีนจะเติบโตที่ 7.5% สูงกว่าประเทศอื่นๆ และยังมีแนวโน้มที่จะรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากกว่าทุกประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรจำนวนมาก และประชาชนเริ่มมีรายได้ที่สูงขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อสินค้าต่างๆ มากขึ้น
ทั้งนี้ หากรายได้ของประชากรจีนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกมาก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2552 เศรษฐกิจทั่วโลกจะติดลบ 1.4% ขณะที่จีนอยู่ที่ระดับ 7% และยังน่าจะสามารถเติบโตไปได้ โดยนักลงทุนจะเริ่มหันมามองจีน และเอเชียมากขึ้น หลังจากที่เคยโฟกัสที่ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจีนยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และจะมีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นด้วย
“จีนมีดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง และมีทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฐานะทางการเงินเข้มแข็ง หากมีการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้ก็จะช่วยทดแทนการส่งออกที่ลดลงได้ ส่วนตัวเลขการส่งออก การค้าปลีก และการลงทุนยังดีขึ้นตามลำดับ โดยประชากรจำนวน 60% มีการใช้จ่ายเพียง 30% ของเงินทั้งหมด หากสามารถกระตุ้นตรงนี้ได้จะช่วยการบริโภคมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนประชากรที่มีรถยนต์คิดเป็น 40 คนต่อ 1,000 คน หากเพิ่มตรงนั้นได้ก็จะช่วยให้มีการจ้างงาน และมีการใช้จ่ายมากขึ้นเช่นกัน” นางสาววรรณจันทร์ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ออกนโยบายทางการเงิน – การคลังต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพในระยะยาว ถึงแม้ราคาของดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง (HSCEI Index) มีการปรับตัวสูงขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังคงมีราคาต่ำกว่าหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ และยังต่ำกว่าหุ้นในภูมิภาค โดยพิจารณาจาก P/E Ratio (อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) ของดัชนี HSCEI ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E Ratio ของดัชนีหุ้นประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ประมาณ 19 เท่า
ดังนั้น บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทชั้นนำต่างๆ ในประเทศจีน โดย ณ ปัจจุบันดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงอยู่ที่ประมาณ 12,000 จุด ซึ่งยังถือว่าเป็นระดับที่ยังน่าสนใจสำหรับการเข้าไปลงทุน เมื่อเทียบกับช่วงที่ดัชนีปรับตัวไปสูงถึง 20,000 จุดในปี 2550 และปรับตัวลงมายังระดับประมาณ 6,000 จุดในปี 2551 ตามภาวะเศรษฐกิจโลก ก่อนที่จะปรับขึ้นมาอีกครั้งในปีนี้ หลังจากนักลงทุนมีความมั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นจีนจึงเป็นที่จับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก
“หุ้น H-share จะมีราคาถูกกว่า A-share ทั้งที่เป็นหุ้นตัวเดียวกัน โดยคนจีนส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในหุ้น A-share เพราะว่าลงทุนต่างประเทศลำบาก ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก ซึ่งมองว่าหุ้น H-share ยังมีความน่าสนใจ โดยกองทุนดังกล่าวจะใช้กลยุทธ์แบบ Passive และเข้าไปTrack Index H-share เพื่อให้ผลการดำเนินงานที่ดีเท่ากับการลงทุนในดัชนีดังกล่าว และการลงทุนในลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจได้โดยง่าย แทนที่จะใช้วิธีที่ให้ผู้จัดการกองทุนดูแลจัดการ ซึ่งจะต้องอาศัยความเชื่อมั่นจากนักลงทุนค่อนข้างสูงกว่า” นางสาววรรณจันทร์ กล่าว