บลจ.นครหลวงไทย ชี้ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ 600 – 700 จุด ลุ้น "แอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ"ขายดี ช่วยหนุนดัชนีทะลุ 800 จุดได้ ส่วนแผนออกกองทุน ยังสานต่อบอนด์กิมจิ ควบคู่พันธบัตรในประเทศ หลังดอกเบี้ยส่งสัญญาณขาขึ้น
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดผยว่า บริษัทมองว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปีนี้ ดัชนีน่าจะอยู่ประมาณ 600 – 700 จุด โดยสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับขึ้นมาก่อน
แต่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยได้ปรับขึ้นไปค่อนข้างแรง เพราะว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะเติบโตได้ที่ 7.5%
โดยเชื่อว่าภูมิภาคเอเชียจะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลก และมีเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจดีที่สุด จากนั้นเม็ดเงินจะเริ่มไหลกลับมาจากสหรัฐอเมริกา โดยจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นจำนวนมาก แต่ที่จำเป็นต้องถอนเงินลงทุนไป เพราะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทมองว่าหุ้นจะปรับขึ้นไปก่อนสินทรัพย์อื่น ตามด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) และอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่กองทุนร่วมทุน (แมทชิ่งฟันด์) ที่เน้นลงทุนในหุ้น บริษัทยังคงให้ความสนใจออกกองทุนเช่นเดิม เพราะเชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในระยะยาว ดัชนีหุ้นมีโอกาสปรับขึ้น (อัพไซส์) ไปได้
โดยดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 800 จุดได้ แต่หากในช่วงปลายปีนี้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ขายดีก็จะมีส่วนผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปที่ระดับ 800 จุดภายในปีนี้ได้เช่นกัน
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า กองทุนที่เน้นลงทุนในพันธรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ หากยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีก็ยังคงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่กองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง บริษัทไม่ได้ความสนใจออกมา เพราะว่าดูจากความเสี่ยง และอายุของพันธบัตรแล้วผลตอบแทนไม่ค่อยจูงใจ รวมทั้งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักลงทุนมากนัก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าในปีหน้าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้จะปรับขึ้นไป ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลไทยก็น่าจะปรับขึ้นเช่นกัน ทำให้ยังสามารถขายกองทุนทั้งสองประเภทต่อไปได้
โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้มาแล้วประมาณ 40 กองทุน มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท หากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่เลวร้ายนักก็ยังออกกองทุนมาอีก
สำหรับแผนงานออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์) ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเลือกสินทรัพย์ในหลายประเทศ เพราะว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศยังไม่ขยับขึ้นไปมากนัก ยกเว้นประเทศไทย แต่สินทรัพย์ที่บริษัทให้ความสนใจจะมีทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย ซึ่งสนใจลงทุนในเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์
แต่พอเกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความกังวลว่าธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์จะมีรายได้ลดลงในช่วง 3 – 5 ปีต่อไปจากนี้ หากบริษัทจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา และมีการรับประกันรายได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็จะช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องดังกล่าวไปได้