ถึงจุดนี้ สามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกได้ก้าวข้ามจุดต่ำสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ไป ก็เหลือแค่เพียงรอว่า เมื่อไหร่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติกันเสียที...และในช่วงของการฟื้นตัวนี่เอง ถือเป็นโอกาสดีในการเข้ามาแสวงหากำไร เพราะ ณ ขณะนี้ ตัวเลขหลายๆ อย่าง ยังไม่กลับเข้าที่ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น วันนี้ "ASTVผู้จัดการกองทุนรวม" มีอัปเดตผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วโลกมาเป็นข้อมูลให้กับนักลงทุน ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด วันที่ 18 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา โดย "ศุภกร สุนทรกิจ" รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
...เริ่มต้นกันที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งจากตัวเลขพบว่า ตลาดเกิดใหม่ล้วนให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจทั้งนั้น โดยในกลุ่มประเทศเอเชีย ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 58.03% รองจากนั้นเป็นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศยุโรป ด้วยผลตอบแทน 53.92% และตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา 43.86% ในขณะที่ดัชนี MSCI Emerging ให้ผลตอบแทน 49.88%
ทั้งนี้ หากมองในภาพรวมเป็นรายภูมิภาค พบว่า ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทน 34.09% ตลาดหุ้นยุโรป 19.91% ตลาดอเมริกาเหนือ 19.56% และตลาดญี่ปุ่น ปรับเพิ่มขึ้นมาเพียง 9.87% เท่านั้น ในขณะที่ดัชนี MSCI World AC Index ให้ผลตอบแทน 22.07% ส่วนดัชนี MSCI World Index อยู่ที่ 19.17%
และหากเจาะเป็นรายประเทศ แน่นอนว่ากลุ่มประเทศในเอเชียถือว่าน่าสนใจทีเดียว โดยตลาดหุ้นของประเทศอินโดนีเชีย ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด ด้วยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 81.27% ตามมาด้วยเวียดนาม 80.52% และอินเดีย 72.30%
"ศุภกร" บอกว่าสาเหตุที่กลุ่มประเทศเหล่านี้ปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง นั่นเพราะเป็นประเทศที่ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกมานัก ดังนั้น ความกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจจึงมีน้อยกว่า ทำให้ เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาค่อนข้างเยอะ
สำหรับกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก เช่น ไต้หวัน พบว่าตั้งแต่ต้นปี ดัชนีขยับขึ้นมาแล้ว 64.01% ในขณะที่ตลาดหุ้นจีน ซึ่งค่อนข้างร้อนแรงและผันผวน ปรับขึ้นไป 61.64% โดยมีดัชนีหุ้นไทยตามมา ที่ 58.61% ซึ่งตลาดหุ้นไทยเอง "ศุภกร" บอกว่า หากรวมเงินปันผลเข้าไปด้วยประมาณ 4% ก็พบว่าให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 62%
ต่อกันด้วยเกาหลีใต้ ซึ่งประเทศนี้พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ฟื้นไปแล้วกว่า 51.16% เช่นเดียวกับสิงคโปร์ที่ปรับขึ้นมา 49.54%
เขาบอกว่า อย่างที่บอกไปว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ความกังวลจึงมีมากกว่า ดังนั้น กระแสเงินทุนต่างชาติจึงไหลเข้ามาน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ กลุ่มประเทศเหล่านี้ จะได้รับความสนใจจากฟันด์โฟลเหล่านี้มากขึ้นจากสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะแน่นอนว่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ในขณะที่ทิศทางของค่าเงิน...ศุภกรบอกว่า แนวโน้มหลังจากนี้ ค่าเงินในเอเชียส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน คือ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่า สกุลออสเตรเสียดอลลาร์และนิวซีแลนด์ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก โดยปรับขึ้นถึง 25.47% และ 22.70% ตามลำดับ ในขณะที่ค่าเงินบาท พบว่าแข็งค่าขึ้น 2.99% ส่วนค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ ที่ค่อนข้างผันผวนแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 4.28%
ไปดูทิศทางของสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) กันบ้าง...สินค้าที่ให้ผลตอบแทนมาเป็นอันแรก คือ ฮาร์ดคอมมอดิตี ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน โดยในกลุ่มนี้ ราคาปรับขึ้นมาถึง 62.2% ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเอง ก็ขยับขึ้นมา 61.5% ส่วนกลุ่มพลังงานทั้งหมด ปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 46.9%
สำหรับราคาทองคำ แม้ราคาในตลาดโลกจะขยับเกิน 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง แต่ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี พบว่าปแรับเพิ่มขึ้นเพียง 14.1% เท่านั้น ...ซึ่ง"ศุภกร" บอกว่า ราคาทองคำในแต่ละปี จะขยับขึ้นไม่มากอยู่แล้ว ซึ่งเฉลี่ยก็อยู่ระหว่าง 10-11%
ปิดท้ายกันด้วยทิศทางของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์...ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า ราคาบ้านในยุโรปมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงสุด 38.88% ตามมาด้วยเอเชียที่ขยับขึ้น 38.19% ในขณะที่ราคาบ้านในสหรัฐฯ พบว่า ขยับขึ้นมาเพียง 20.33%...เขาบอกว่า ราคาบ้านในสหรัฐขยับขึ้นมาเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ดังนั้น จึงยังมีรูมเหลือให้ลงทุนได้อยู่ ซึ่งบลจ.เอ็มเอฟซีเอง มีแผนจะออกกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศด้วย
แนะเบรกลงทุนตราสารหนี้
"ศุภกร" ปิดท้ายด้วยคำแนะนำสำหรับใครที่จะลงทุนในช่วงนี้ว่า ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้มีการปรับตัวขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นการปรับล่วงหน้ารับข่าวแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น หลังจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตราสารหนี้เอาไว้ก่อน โดยอาจจะรอให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยมีความชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ก่อนเข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ หากต้องการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนอายุยาวตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปแทน เพราะยังให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันกองทุนประเภทเทอมฟันด์ หรือกองทุนปิดที่ล็อกอายุไว้ ก็สามารถลงทุนได้เช่นกัน แต่กองทุนต่างประเทศจะน่าสนใจกว่า เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยพันธบัตรเกาหลียังน่าสนใจอยู่ ถึงแม้ผลตอบแทนจะลดลงมาค่อนข้างมากก็ตาม
สำหรับการลงทุนในหุ้น ยังแนะนำว่าสามารถลงทุนได้ โดยให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับน้ำหลักตลาด นอกจากนี้ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย ส่วนสินค้าคอมมอดิตีและกลุ่มอสังหาฯ ก็ยังให้น้ำหลักการลงทุนเช่นกัน