บลจ. อเบอร์ดีนกำไรหุ้น จ่ายปันผล กองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล หน่วยลงทุนละ 0.76 บาท ผู้ถือหน่วยรับเงิน 17 ก.ย. นี้
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล จะหยุดทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน กองทุนเปิดอเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2552 - 4 กันยายน 2552 เพื่อกำหนดสิทธิในการจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยบริษัทจะเริ่มทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 2552 เป็นต้นไป โดยบริษัทจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 3 กันยายน 2552 และจะทำการจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.7678 บาทต่อหน่วย ภายในวันที่ 17 กันยายน 2552
ทั้งนี้ ผลตอบแทนของกองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นมาถึง 27% ตามภาวะตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมานี้ โดยสัดส่วนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ผลการดำเนินงานปรับตัวขึ้นมากว่า 44%
สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล เป็นกองทุนผสมที่มีความยืดหยุ่น โดยบริษัทจะมีการประชุมกันทุก 3 เดือน เพื่อทำการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ตามสถานการณ์
นายอดิเทพกล่าวว่า แนวโน้มของหุ้นไทยนั้น มองว่า การที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 50% ถือว่าขึ้นไปค่อนข้างมาก ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้นมา แต่เศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาเป็นปกติแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าจะดีขึ้นในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของหุ้นไทยนั้น ยังคงมีให้เห็นอยู่ อันเนื่องมาจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ที่มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายออกมา จึงไม่แปลกที่จะมีการขายทำกำไรกันออกมา
ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ตลาดตราสารหนี้ของไทย ปรับลดลงมาเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงมาหากเทียบกับช่วงปีที่แล้ว ตลาดตราสารหนี้ของไทยจะคึกคักมาก ซึ่งภาวะของตลาดตราสารหนี้ในปีนี้จึงสวนทางกับตลาดหุ้น เพราะนักลงทุนได้โยกเงินไปลงทุนในหุ้นกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คงไว้เอาไว้ที่ 1.25% รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการในช่วงปีนี้จนถึงในปีหน้านั้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ในช่วงอายุ 5-10 ปีปรับตัวขึ้นไปได้
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล จะหยุดทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน กองทุนเปิดอเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2552 - 4 กันยายน 2552 เพื่อกำหนดสิทธิในการจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยบริษัทจะเริ่มทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 2552 เป็นต้นไป โดยบริษัทจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 3 กันยายน 2552 และจะทำการจ่ายเงินปันผล ในอัตรา 0.7678 บาทต่อหน่วย ภายในวันที่ 17 กันยายน 2552
ทั้งนี้ ผลตอบแทนของกองทุนเปิด อเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล ตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นมาถึง 27% ตามภาวะตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมานี้ โดยสัดส่วนที่ลงทุนในหุ้นนั้น ผลการดำเนินงานปรับตัวขึ้นมากว่า 44%
สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีนเฟล็กซิเบิ้ลแคปปิตอล เป็นกองทุนผสมที่มีความยืดหยุ่น โดยบริษัทจะมีการประชุมกันทุก 3 เดือน เพื่อทำการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ตามสถานการณ์
นายอดิเทพกล่าวว่า แนวโน้มของหุ้นไทยนั้น มองว่า การที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 50% ถือว่าขึ้นไปค่อนข้างมาก ขณะเดียวกัน จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้นมา แต่เศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาเป็นปกติแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าจะดีขึ้นในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของหุ้นไทยนั้น ยังคงมีให้เห็นอยู่ อันเนื่องมาจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ที่มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายออกมา จึงไม่แปลกที่จะมีการขายทำกำไรกันออกมา
ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ตลาดตราสารหนี้ของไทย ปรับลดลงมาเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงมาหากเทียบกับช่วงปีที่แล้ว ตลาดตราสารหนี้ของไทยจะคึกคักมาก ซึ่งภาวะของตลาดตราสารหนี้ในปีนี้จึงสวนทางกับตลาดหุ้น เพราะนักลงทุนได้โยกเงินไปลงทุนในหุ้นกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยซึ่งได้คงไว้เอาไว้ที่ 1.25% รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ดำเนินการในช่วงปีนี้จนถึงในปีหน้านั้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ในช่วงอายุ 5-10 ปีปรับตัวขึ้นไปได้