กูรูหุ้นมอง SET ระยะสั้น ปรับฐานที่ 670 จุด แนะเทคโปรฟิต หนีความเสี่ยงการเมือง ก่อนจับจังหวะเก็บหุ้นแบงก์-พลังงานเข้าพอร์ต ด้านผู้จัดการกองทุนชี้ โอกาสปรับฐานไม่แรง เหตุมีเงินสดรอเก็บ
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในระยะ 9 -12 เดือนข้างหน้า มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับขึ้นไปถึง 700-720 จุดได้ หลังจากที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 5 เดือน ซึ่งในรอบนี้ สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีที่ลง เชื่อว่าเงินเหล่านี้ ยังวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นอยู่
ทั้งนี้ หากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปเกิน 700 จุดแล้ว มองว่าดัชนีจะวิ่งต่อไปได้โดยหุ้นพื้นฐาน กลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่หากจะลงทุนในหุ้นทั้ง 2 กลุ่มในช่วงนี้ แนะนำว่าช่วงดัชนีขณะนี้ ยังไม่เหมาะ แต่ควรรอจังหวะให้ราคาปรับฐานลงมาก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นๆ มองว่า หากดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 670 จุด จะเห็นการปรับฐานลงมาอีกครั้ง เพราะช่วงหลังๆ หุ้นขนาดใหญ่มีพักฐานหมดแล้ว แต่การที่ดัชนีหุ้นปรับขึ้นอยู่ในขณะนี้ มาจากสภาพคล่องในประเทศหรือนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนได้จากช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีเป็นหุ้นขนาดกลางที่ไม่ใหญ่มาก เช่น THAI IRPC THCOM และ ITD ซึ่งหุ้นเหล่านี้ ถูกกดอยู่ แต่ปีนี้เริ่มคลายตัวแล้วจากผลการดำเนินงานที่ออกมาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นเหล่านี้ ทำให้ดัชนีขยับขึ้นไปได้ไม่ไกลมากนัก
“โดยพื้นฐานแล้ว ดัชนีหุ้นไทยยังไปต่อได้ แต่ความเสี่ยงเรื่องของการเมือง ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่ง ดังนั้น แนะนำว่าการเทคโปรฟิตออกไปในช่วงนี้ ปลอดภัยที่สุด”นายเกียรติก้องกล่าว
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงใช้เวลาพอสมควร เพราะยังต้องการเงินในการกระตุ้นอยู่พอสมควร สำหรับเศรษฐกิจไทยเอง ก็เชื่อว่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจเอเชีย แต่คงอยู่ในระดับต่ำกว่าเนื่องจากไทยเอง ยังมีปัญหาการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยกดดันสำคัญอยู่
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ จะเห็นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่างจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ที่ถือเงินเงินค่อนข้างมากและผิดปกติ ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีปรับขึ้นมาจึงกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนพอสมควร จะเห็นได้ว่ามีกองทุนในประเทศเองเพียง 15 % เท่านั้นที่ชนะดัชนี เนื่องจากไม่มีผู้จัดการกองทุนคนใดคาดว่าดัชนีจะวิ่งเร็วขนาดนี้
ทั้งนี้ มองว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับฐานยังมีอยู่เช่นกัน แต่หากปรับลงมาไม่มากนัก เพราะยังมีเงินสดจากกองทุนรอซื้อหุ้นอยู่ ซึ่งปัจจัยยี้เอง จะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นขึ้นต่อไปได้ และเงินเหล่านี้เอง ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินลงทุนระยะยาว
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิโลกในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ จะเห็นการเปลี่ยนขั่วที่ชัดเจนมากขึ้น ญี่ปุ่นเองอาจจะลดบทบาทลง ด้วยเรื่องของโครงสร้าง ในขณะที่สหรัฐอเมริกา ยังมีความเป็นห่วงเรื่องของการจัดการกับสภาพคล่องที่อันฉีดเงินเข้าไปในระบบว่าจะเอาออกมาอย่างไร เพราะหากจัดการไม่ดี จีดีพีอาจจะติดลบได้ แต่ก็เชื่อว่าการแต่งตั้งนายเบอร์นานเก้เป็นผู้ว่าเฟดอีกครั้ง น่าจะมีแนวทางจัดการให้กระทบเศรษฐกิจน้อยที่สุด
ในขณะที่จีนและอินเดีย มองว่าน่าจะเป็นแรงขับหนึ่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่งผลดีการส่งออกของประเทศอื่นๆ ซึ่งหากวิกฤตในรอบนี้สามารถฟื้นตัวได้จริง ความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกก็จะดีขึ้น
นายศุภกรกล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ปีนี้หุ้นหลายตัวราคาขยับขึ้นไปถึงราคาเป้าหมายแล้ว แต่มองว่าทั้งปีนี้ ดัชนีคงวิ่งไปไม่ถึง 700 จุด เพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังฟื้น แต่ปีหน้า เรามองว่า ผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้นประมาณ 17% ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะขยับขึ้นไปถึง 750 จุดได้
สำหรับปัจจัยการเมือง เป็นปัจจัยที่เราคาดการณ์ไม่ได้ ดังนั้น ต้องประเมินว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว มีความรุนแรงแค่ไหน ถ้ารุนแรงก็ต้องเทตโฟรฟิต แล้วถือเงินสดให้มากขึ้น เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงไม่ให้มากเกินไป
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในระยะ 9 -12 เดือนข้างหน้า มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับขึ้นไปถึง 700-720 จุดได้ หลังจากที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 5 เดือน ซึ่งในรอบนี้ สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีที่ลง เชื่อว่าเงินเหล่านี้ ยังวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นอยู่
ทั้งนี้ หากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปเกิน 700 จุดแล้ว มองว่าดัชนีจะวิ่งต่อไปได้โดยหุ้นพื้นฐาน กลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่หากจะลงทุนในหุ้นทั้ง 2 กลุ่มในช่วงนี้ แนะนำว่าช่วงดัชนีขณะนี้ ยังไม่เหมาะ แต่ควรรอจังหวะให้ราคาปรับฐานลงมาก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นๆ มองว่า หากดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 670 จุด จะเห็นการปรับฐานลงมาอีกครั้ง เพราะช่วงหลังๆ หุ้นขนาดใหญ่มีพักฐานหมดแล้ว แต่การที่ดัชนีหุ้นปรับขึ้นอยู่ในขณะนี้ มาจากสภาพคล่องในประเทศหรือนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนได้จากช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีเป็นหุ้นขนาดกลางที่ไม่ใหญ่มาก เช่น THAI IRPC THCOM และ ITD ซึ่งหุ้นเหล่านี้ ถูกกดอยู่ แต่ปีนี้เริ่มคลายตัวแล้วจากผลการดำเนินงานที่ออกมาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของหุ้นเหล่านี้ ทำให้ดัชนีขยับขึ้นไปได้ไม่ไกลมากนัก
“โดยพื้นฐานแล้ว ดัชนีหุ้นไทยยังไปต่อได้ แต่ความเสี่ยงเรื่องของการเมือง ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่ง ดังนั้น แนะนำว่าการเทคโปรฟิตออกไปในช่วงนี้ ปลอดภัยที่สุด”นายเกียรติก้องกล่าว
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงใช้เวลาพอสมควร เพราะยังต้องการเงินในการกระตุ้นอยู่พอสมควร สำหรับเศรษฐกิจไทยเอง ก็เชื่อว่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจเอเชีย แต่คงอยู่ในระดับต่ำกว่าเนื่องจากไทยเอง ยังมีปัญหาการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยกดดันสำคัญอยู่
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ จะเห็นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่างจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ที่ถือเงินเงินค่อนข้างมากและผิดปกติ ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีปรับขึ้นมาจึงกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนพอสมควร จะเห็นได้ว่ามีกองทุนในประเทศเองเพียง 15 % เท่านั้นที่ชนะดัชนี เนื่องจากไม่มีผู้จัดการกองทุนคนใดคาดว่าดัชนีจะวิ่งเร็วขนาดนี้
ทั้งนี้ มองว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับฐานยังมีอยู่เช่นกัน แต่หากปรับลงมาไม่มากนัก เพราะยังมีเงินสดจากกองทุนรอซื้อหุ้นอยู่ ซึ่งปัจจัยยี้เอง จะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นขึ้นต่อไปได้ และเงินเหล่านี้เอง ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินลงทุนระยะยาว
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิโลกในช่วง 2-3 ปีหลังจากนี้ จะเห็นการเปลี่ยนขั่วที่ชัดเจนมากขึ้น ญี่ปุ่นเองอาจจะลดบทบาทลง ด้วยเรื่องของโครงสร้าง ในขณะที่สหรัฐอเมริกา ยังมีความเป็นห่วงเรื่องของการจัดการกับสภาพคล่องที่อันฉีดเงินเข้าไปในระบบว่าจะเอาออกมาอย่างไร เพราะหากจัดการไม่ดี จีดีพีอาจจะติดลบได้ แต่ก็เชื่อว่าการแต่งตั้งนายเบอร์นานเก้เป็นผู้ว่าเฟดอีกครั้ง น่าจะมีแนวทางจัดการให้กระทบเศรษฐกิจน้อยที่สุด
ในขณะที่จีนและอินเดีย มองว่าน่าจะเป็นแรงขับหนึ่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ส่งผลดีการส่งออกของประเทศอื่นๆ ซึ่งหากวิกฤตในรอบนี้สามารถฟื้นตัวได้จริง ความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกก็จะดีขึ้น
นายศุภกรกล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ปีนี้หุ้นหลายตัวราคาขยับขึ้นไปถึงราคาเป้าหมายแล้ว แต่มองว่าทั้งปีนี้ ดัชนีคงวิ่งไปไม่ถึง 700 จุด เพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังฟื้น แต่ปีหน้า เรามองว่า ผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้นประมาณ 17% ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะขยับขึ้นไปถึง 750 จุดได้
สำหรับปัจจัยการเมือง เป็นปัจจัยที่เราคาดการณ์ไม่ได้ ดังนั้น ต้องประเมินว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว มีความรุนแรงแค่ไหน ถ้ารุนแรงก็ต้องเทตโฟรฟิต แล้วถือเงินสดให้มากขึ้น เพื่อรักษาระดับความเสี่ยงไม่ให้มากเกินไป