บลจ.ธนชาต ลั่นปี52 AUM โตแตะแสนล้านบาท หลังครึ่งแรกอานิสงส์กองบอนด์โสมดัน AUM รวมทะลุ 9 หมื่นล้านบาทแล้ว จ่องัดไม้เด็ดก่อนปลายปีส่งกองทุน FIF อีก 3 กองทุนล่อใจนักลงทุน ท่ามกลางตลาดเเข่งดุระหว่างแบงก์-ประกันภัยที่รอดึงเงินฝาก พร้อมเเนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงหายิลด์เพิ่ม ทั้งFIFหุ้น-น้ำมัน รวมถึงActive Funds
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการหรือ AUM ประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท โดยกองทุนตราสารหนี้ประเทศเกาหลีใต้มีสัดส่วนของการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท และเชื่อว่าในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ AUM ของบริษัทน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1เเสนล้านบาทได้จากการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) อีก 2-3 กองทุน ซึ่งกองทุนแรกน่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้
"ครึ่งปีหลังที่เหลือนี้เรามองว่าดอกเบี้ยเงินฝากคงจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ธนาคารต้องหาเงินฝากจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ในส่วนของประกันชีวิตก็มีความสามารถเพียงพอที่จะกระโดดลงมาเเข่งขันเพื่อเเย่งส่วนเเบ่งในส่วนนี้ ส่วนนี้เองที่เรามองว่าการเเข็งขันใน 5 เดือนที่เหลือน่าจะดุเดือดมากขึ้นกว่าเดิม" นายบุญชัย กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทยังมองว่าดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำต่อไปอีก ซึ่งเเน่นอนว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยอย่างเช่น กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน น่าจะยังคงให้ผลตอบเเทนต่ำในระดับเดียวกับอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ จึงอยากเเนะนำนักลงทุนให้กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเช่น ลงทุนในหุ้นทั้งในเเละต่างประเทศหันเข้ามาลงทุนในสินค้าคอมมอนิตี้บ้าง หรือมองหาการลงทุนที่มีนโยบาย Active Funds เพื่อสร้างผลตอบเเทนที่ดีในอนาคต
ด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ธนชาต กล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ว่า ต้นปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก ซึ่งหลายคนมองว่าไตรมาสที่ 3 เเละไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น เเต่ปรากฏว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นตั้งเเต่ไตรมาสที่ 1 ของปีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเเละมาตรการช่วยเหลือธนาคารของรัฐบาลอเมริกา พร้อมทั้งมีการออเดอร์สินค้ามามากขึ้นหลังจากสินค้าคงคลังถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ภาคการผลิตปรับกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
"ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น เเต่ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นรูปตัว V นั้นเรามองว่าคงต้องใช้เวลาจากนี้ไปอีกซักระยะ ซึ่งอาจจะต้องใช้การลงทุนหรือการบริโภคจากประเทศในเเถบเอเชียที่มีกำลังทรัพย์ค่อนข้างมากกว่าหากเทียบกับประเทศที่พัฒนาเเล้วอย่างอเมริกา เเต่สิ่งที่สำคัญคือต้องยอมรับว่าประเทศในเอเชียพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างสูงทำให้เกิดการลงทุนได้ค่อนข้างน้อย"นายตระกูลจิตรกล่าว
สำหรับประเทศจีนตั้งเเต่ต้นปีที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างร้อนเเรง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการควบคุมการวางงาน เเละการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนหันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเเละภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยส่วนนี้เองรัฐบาลจึงเริ่มควบคุมการปล่อยสินเชื่อบางอุตสหกรรมเพื่อไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งจากการที่เศรษฐกิจของจีนปรับขึ้นนั้นเรามองว่าอาจจะมีการชะลอตัวเล็กน้อยในครึ่งปีหลังจากนี้
ขณะที่นายมณฑล จุนชยะ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ. ธนชาต กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นหลังจากที่ผลตอบเเทนของตราสารหนี้หรือกองทุนรวมตลาดเงินเริ่มน้อยลง ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีเงินไหลจากนักลงทุนในประเทศเเละต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก ทำให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นมีสูงขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีค่าความเสี่ยงที่สูงเเล้ว ที่ระดับปัจจุบัน SET อยู่ที่ 644 จุด เราเทรดกันอยู่ที่P/E ประมาณ 12.4-12.5 เท่า ซึ่งตามปกติตลาดภูมิภาคจะเทรดอยู่ที่ 30 เท่า ซึ่งหากเราเทรดที่ระดับ 10 เท่า มองว่าดัชนี SET น่าจะอยู่ที่ 600 จุด"นายมณฑลกล่าว