xs
xsm
sm
md
lg

"จีน-อินเดีย"กู้ศก.โลก...ไม่ง่าย ถ้าคู่ค้าสำคัญ...ยังซึมยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต้องถือว่าตอนนี้ สายตาของคนทั่วโลกกำลังจับตาไปที่ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่าง ประเทศจีน เเละประเทศอินเดีย จะเป็นผู้นำสำคัญที่จะนำพาเศรษฐกิจโลกผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ เเต่สิ่งที่หลายคนกำลังคิดอยู่ในใจว่า...ถึงแม้ทั้งสองประเทศนี้จะฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเเล้วก็จริง เเต่ประเทศคู่ค้าสำคัญของจีนกับอินเดีย ยังต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอยู่ ด้วยเหตุผลข้อนี้ทำให้ใครหลายคนยังมองไม่เห็นว่า ทั้งสองประเทศจะนำพาเศรษฐกิจโลกให้ก้าวต่อไปเช่นไร

ดังนั้น เราลองมาดูมุมมองของนักวิเคราะห์ของนานาประเทศเเละหลากหลายสถาบัน ว่าเขามีมุมมองต่อเศรษฐกิจประเทศจีน เเละประเทศอินเดีย อย่างไรกันบ้าง

จริงหรือที่จีน-อินเดียจะช่วยโลกให้พ้นวิกฤติ?
เชล โฟแกง
นักวิเคราะห์กิจการระหว่างประเทศในกรุงปารีสของฝรั่งเศส ออกมาระบุว่า ถึงแม้จีนจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น และมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 7.9 ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ขณะที่อินเดียก็มีเศรษฐกิจขยายตัวถึงร้อยละ 5.8 ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ เป็นเพียงแค่การส่งสัญญาณเชิงบวกท่ามกลางภาวะมืดมนของเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ และคงจะมีผลด้านจิตวิทยาในการช่วยเรียกความเชื่อมั่นในตลาดได้บ้างเท่านั้น แต่คงไม่อาจช่วยโลกให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจระลอกนี้ไปได้ และทั้ง 2 ชาติเองก็ยังคงต้องรอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วก่อนเช่นกัน

ขณะที่ เอริก ชาเนย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มบริษัทประกันภัยแอ็กซ่า ของฝรั่งเศส มองว่า ลำพังแต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของทั้งจีนและอินเดียนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะฉุดเศรษฐกิจโลกให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยในขณะนี้ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของจีนและอินเดียยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งการเจริญเติบโตของทั้ง 2 ประเทศ ได้ช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการวัตถุดิบและสินค้าอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการผลิตมากขึ้น

ด้าน ศาสตราจารย์อาวุโส เอสวาร์ ปราสาด นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำมหาวิทยาลัยคอร์เนล และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ออกมาระบุเช่นกันว่า เขาไม่เชื่อว่าจีนและอินเดียจะสามารถผลักดันเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัวได้ ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดียน่าจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกในทางอ้อมเท่านั้น จากปริมาณความต้องการสินค้าของตลาดในประเทศ และการช่วยสร้างความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัว

นอกจากนั้นในระยะยาวแม้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของ 2 ประเทศจะยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ต่อไป แต่ในขณะนี้จีนและอินเดียจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะแรงกดดันจากประเทศต่างๆ ที่ต้องการให้ชาติเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ทั้งสองเปลี่ยนรูปแบบทางเศรษฐกิจของตัวเองที่เคยแต่เน้นการสร้างรายได้จากการส่งออกเป็นหลัก

ริชาร์ด เฮิร์ด นักวิเคราะห์จากสำนักงานเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ในกรุงปารีส ให้ความเห็นว่า ในความเป็นจริงแล้ว จีนมีส่วนร่วมในการช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของการผลิตสินค้าต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน้อย เนื่องจากจีนเป็นชาติที่เน้นการส่งสินค้าของตนออกสู่ตลาดโลกเป็นหลัก ไม่ใช่ชาติที่เน้นการนำเข้า และที่ผ่านมายังพบว่าจีนมีปริมาณการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆไม่สูงนัก เนื่องจากจีนมีศักยภาพที่จะพึ่งพาตนเองได้ในการผลิตสินค้าหลายชนิด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าพลังทางเศรษฐกิจของจีนจะช่วยโลกให้หลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งนี้

โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีเสียงวิจารณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ระบุว่าเศรษฐกิจของจีนอยู่ในภาวะอันตรายและสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง เนื่องจากพึ่งพารายได้จากการส่งสินค้าออกจำนวนมหาศาลเป็นหลักในการสร้างความเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับเศรษฐกิจของตน ซึ่งแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจโลกเสียสมดุลอย่างร้ายแรงอีกด้วย

อย่างไรก็ดีประเทศจีนกับอินเดียก็ยังมีข่าวดีๆเซอร์ไพร์สได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศ หรือเเม้กระทั้งดำเนินนโบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลเร็วกว่าประเทศอื่นๆ เเละเรื่องที่เซอร์ไพร์ส อีกเรื่องหนึ่งคือ....

มังกรกำลังเป็นจ้าวตลาดทองคำ
Marcus Grubb
กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่งสภาทองคำโลก ระบุว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจจีนไตรมาสสองกระเตื้องขึ้นร้อยละ 7.9 ส่งให้จีนเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่ชาติแรกที่กำลังหลุดพ้นจากภาวะถดถอย ด้านความต้องการในตลาดเพชรพลอยจีนขยายตัวดีมาตั้งแต่ไตรมาสแรก และความต้องการทองคำก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการด้านนี้ของอินเดียกลับซบเซาลง โดยการซื้อขายทองคำของแดนภารตะตกลงร้อยละ 54 ในช่วง 6 เดือนที่สิ้นสุดในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากค่าเงินรูปีที่อ่อนลงดันค่าใช้จ่ายในการครอบครองทองคำแท่งสูงขึ้น จนหั่นความต้องการจากกลุ่มผู้ค้าเพชรพลอย ทั้งนี้ จากข้อมูลสมาคมทองคำแท่งแห่งบอมเบย์

โดยโห่ว ฮุ่ยหมิ่น รองประธานสมาคมทองคำแห่งประเทศจีน กล่าวไว้ว่า มีความเป็นไปได้ว่าจีนจะขึ้นมาแทนที่อินเดีย เป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปีนี้

ทั้งนี้ตัวเลขจากสภาทองคำยังระบุว่าขณะนี้การบริโภคทองในอินเดียไตรมาสแรกตกลงร้อยละ 83 เท่ากับ 17.7 ตัน จาก 107.2 ตันในปีก่อนหน้า ขณะที่การซื้อขายทองคำในจีนขยับขึ้นร้อยละ 1.8 เท่ากับ 105.2 ตัน จากเดิม 103.3 ตัน ความต้องการทองคำในจีนรวมทั้งสิ้นนั้น มากกว่าในอินเดียในช่วงไตรมาสแรก ถึง 6 เท่าตัว นอกจากนี้ ในช่วงหกเดือนแรกที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายน การนำเข้าทองคำมายังอินเดีย ลดลงเหลือเพียง 63.8 ตัน จาก 139 ตันเมื่อปีก่อนหน้า สมาคมทองคำแท่งแห่งบอมเบย์ชี้ว่าการนำเข้าจะยิ่งลดลงไปกว่านี้เนื่องจากรัฐบาลเพิ่มภาษีนำเข้า

อย่างไรก็ตาม อินเดียตอบสนองความต้องการทั้งหมดจากการนำเข้า ซึ่งรวมทั้งการนำเข้าจากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ และไม่ได้รวมอยู่ในข้อมูลตัวเลขทางการ Mukul Sonawale คู่หุ้นส่วนของ Narrondass Manordass Co. และอดีตประธานสมาคมทองคำแท่งบอมเบย์ชี้ และยังบอกว่า จีนอาจกลายเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกเพียงในกระดาษ ตัวเลขการนำเข้าของทางการดูหลอกๆเนื่องจากมิได้ติดตามการนำเข้าทั้งหมด ขณะที่อินเดียขึ้นภาษีนำเข้าทองคำเป็นสองเท่า และช่องทางนำเข้าที่ไม่เป็นทางการก็มีแนวโน้มขยายตัว

ต้องถือว่าประเทศจีนจัดเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลก ได้ขยายทุนสำรองทองคำร้อยละ 76 เท่ากับ 1,054 ตัน นับจากปี 2546 และเป็นประเทศที่ถือครองทองคำมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ทั้งนี้จากการเปิดเผยเมื่อเดือนเมษายนโดยนาง หู เสี่ยวเลี่ยน หัวหน้าสำนักงานปริวรรตเงินตราต่างประเทศจีน

จีน-อินเดียในสายตาผู้จัดการกองทุน
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มองว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกของประเทศอินเดีย นั้นเติบโตร้อยละ 5.8 ขยายตัวเป็นบวกสวนกระแสเศรษฐกิจหดตัวของประเทศทั่วโลก มีการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศมีเสถียรภาพจากผลการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่พรรคคองเกรสและพันธมิตรได้รับเสียงข้างมากในสภาและมีคะแนนมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ยังคงดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุน และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการลงทุนในประเทศ และรัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าจะเติบโตร้อยละ 6

ขณะที่ประเทศจีน เอง มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 586 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่มุ่งเน้นอุปสงค์ภายในประเทศคือการบริโภคและการลงทุนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ แม้การส่งออกจะหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ จีนยังมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติมต่อเนื่อง ได้แก่ การให้เงินอุดหนุนภาคครัวเรือนในการซื้อรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศขยายตัว มาตรการการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค เช่น การสร้างรถไฟ ถนน ช่วยให้การลงทุนสินทรัพย์ถาวรขยายตัวในเกณฑ์สูง มาตรการการเงินที่ผ่อนคลายโดยอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และการขยายเพดานวงเงินกู้ยืมทำให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 29.7 นอกจากนี้รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ร้อยละ 8



กำลังโหลดความคิดเห็น