ต้องยอมรับว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นช่วงคืนวันแห่งความสุขของใครต่อใครหลายคน โดยเฉพาะในแวดวงการลงทุนเป็นแน่ เพราะเชื่อว่าหลายคนน่าจะได้รับกำไรจากการลงทุนกลับคืนมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย จากแนวโน้มและทิศทางขาขึ้นของดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวดี ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจหรือหลงระเริงกับมันมากไปนัก เพราะแรงซื้อที่เข้ามามากของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ย่อมเกิดความหวั่นวิตกต่อการเกิดแรงเทขายที่ย่อมมีกลับมาให้ได้เห็น แต่ในสัปดาห์นี้อยากจะขอพูดถึง สินทรัพย์มีค่าอย่างทองคำ
ซึ่งนับวันมูลค่าในตัวยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะมาในรูปแบบทะยาน หรือทยอยปรับตัวก็ตาม
**เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย ที่เจ้าแท่งสีเหลืองอร่ามนี้ดีดตัวขึ้นอย่างอัศจรรย์ ไม่ต้องมองไปไหนให้ไกลตัว แค่ลองย้อนกลับเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา วันที่ 2 พ.ค. ราคาทองคำแท่งรับซื้อที่ 14,850 บาท/ทอง 1บาท ขายออกที่ 14,950 บาท แต่ ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 เวลา 16.00 น. ราคารับซื้อ 15,700 บาท และขายออก 15,800 บาท โดยระยะเวลา 34 วัน
มันมีส่วนต่างที่สร้างกำไรให้กับผู้ซื้อทองคำแท่งในวันนั้นถึงบาทละ 850 บาท ถ้ามีทองแท่ง 10 บาท คุณกำไรมีกำไรจากส่วนต่าง 8,500 บาท ถ้าเป็นน้ำหนัก 20 บาท ส่วนต่างจะเป็น 17,000 บาท**
และในวันนี้ **“17,000”** จะเป็นตัวเลข ที่จะถูกหยิบยกมาพูดถึงกันในรายงานพิเศษฉบับนี้ เพียงแต่มันไม่ใช่ส่วนต่างของผู้ที่ซื้อทองคำแท่งเมื่อ 2พ.ค. แต่มันจะเป็นความเป็นไปได้ที่ในเร็วๆนี้ เราผองพี่ เพื่อนพ้องคนไทยอาจจะได้ยลโฉม ตัวเลขราคาทองคำที่เขียนกันเป็นประจำบนบานกระจกของร้านทองทั่วกรุงเทพฯ และทุกๆจังหวัด มีตัวเลข 17,000 บาท ปรากฏขึ้น
เพราะแม้แต่บรรดาเกจิ กูรูชื่อดังหลายต่อหลายยังต้องยอมรับถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวแล้วว่า **มีความเป็นไปได้ในเร็วๆนี้**
ปัจจุบัน ราคาทองที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลดีกับบรรดามนุษย์เงินเดือนมากสักเท่าไร แต่กลับสร้างความยากลำบากในการให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดังกล่าวมากขึ้น ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้มายังอยู่ในระดับเดิมๆ แต่ราคาที่ต้องควักจ่ายไปนั้นเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าแต่กาลก่อน
หนำซ้ำ เรื่องนี้ยังส่งผลต่อบรรดาร้านทองที่ให้บริการ ไม่เชื่อลองสังเกตหรือถามเจ้าของร้านดูได้ ว่าปริมาณลูกค้าที่เข้ามาซื้อทองรูปพรรณในยุคนี้ มีอยู่เท่าใด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับทราบมา พบว่าปริมาณซื้อขายทองรูปพรรณในไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ยประมาณ 20% ในรอบ 3ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลกระทบไปถึงบรรดาแรงงานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่าง “ช่างทอง”
ที่หลีกเลี่ยงกับคำว่า “ตกงาน”ได้อย่างยากลำบาก และน่าจะเป็นสิ่งที่คนที่มีอำนาจ หรือเกี่ยวข้องควรยื่นมือเข้ามามองปัญหานี้
ย้อนกลับมาที่ **17,000** จากสถานการณ์ในขณะนี้ที่ราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศมีการปรับตัววเพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการอ่อนค่าลงไป ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นจนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามาแทรกแซง รวมทั้งผลด้านจิตวิทยาการลงทุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของนักลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ทิศทางชัดเจนถึงการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ยังนับเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาทองคำให้ดีดตัวต่อไป แม้ช่วง 2-3วันที่ผ่านมา ราคาทองจะมีการปรับตัวลดลงไปบ้างก็ตาม
**สัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก** ให้ความเห็นว่า ในเดือนนี้ถือว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำจะสถิติใหม่ ส่วนจะขึ้นไปถึง 17,000 บาท ต้องดูกันที่การแทรกแซงค่าเงินของแบงก์ชาติประกอบด้วยว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่ด้านราคาทองคำต่างประเทศขึ้นไปแตะ 1,000 เหรียญ/ออนซ์มีโอกาสได้เห็น อีกทั้งหากมองในทางเทคนิคอย่างเดียว
ก็มีโอกาสที่ราคาจะขยับเพิ่มขึ้นแตะ 1,200 – 1,300 เหรียญ/ออนซ์ ในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน แต่มีความเป็นไปได้น้อย เพราะต้องไม่ลืมถึงการแทรงแซงค่าเงินของภาครัฐมาประกอบการพิจารณาด้วย
ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขยับตัว ขึ้น ไปด้วยเช่น แต่ที่ดูจะมีแรงผลักดันมากที่สุดก็ยังหนีไม่พ้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง เพราะทุกวันนี้การซื้อขายทองคำใช้เงินสกุลดังกล่าวเป็นตัวหลัก ดังนั้นเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงยิ่งทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายต่อทองคำ1ออนซ์สูงไปด้วยโดยอัตโนมัติ
แม้ค่าเงินของหลายประเทศจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม
** กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสาทรธานี และผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยรังสิต** กล่าวว่า หากมองเฉพาะปัจจัยในด้านราคาน้ำมัน ที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น เรา ต้องติดตามการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก เพราะหากมีการปรับลดกำลังผลิตลงจากเดิม
เรื่องนี้จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมต่างๆจำเป็นต้องใช้พลังงานมาเป็นส่วนประกอบ และเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น แากจุดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่แรงผลักดันดังกล่าวจะกระตุ้นใ ห้ราคาทองคำขยับตัวเพิ่มขึ้นอีก
**ทอม แพวลิคี นักวิเคราะห์บริษัทเอ็มเอฟ โกลบัล** กล่าวว่า ทองคำอาจแตะ 1,000ดอลลาร์อีกครั้งในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่า กองทุนบริหารความเสี่ยงมีการซื้อทองคำมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ทองคำอาจจะกลับมาอยู่ที่ประมาณ900 ดอลลาร์ได้หากหุ้นยังคงพุ่งต่อไป
**จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ** กล่าวว่า ราคาทองคำต่างประเทศ ในขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้ ราคาทองคำ อาจปรับตัวสูงขึ้นทำลายสถิติใหม่ ซึ่งสูงกว่าบาทละ 16,400 บาท ที่เป็นราคาสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน
**บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออส สิริส จำกัด** กล่าวว่าแนวโน้มราคาทองคำว่า ยังมีโอกาสปรับตัวต่อเนื่องเพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุนราคาทองคำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความกังวลจากวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน และปัญหาเงินเฟ้อในอนาคต โดยมองว่าภายในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีโอกาสสูงที่ราคาจะขยับขึ้นมาแตะ 17,000 บาท
ต่อน้ำหนัก 1 บาทในทองคำ 96.50%
โดยปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก 1.กระแสเงินทุนทั้งในและต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ยังไหลเข้ามาสู่สินทรัพย์ประเภททองคำในรูปแบบต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลงก็มีผลต่อราคาทองคำ และ 3.ภาวะ เศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นและราคาน้ำมันที่ปรับตัวในระดับสูง มีโอกาสทำให้ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
ซึ่งการลงทุนผ่านทองคำสามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้
อีกทั้งหากพิจารณาพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ จะพบว่าส่วนใหญ่บรรดากองทุนได้เปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ โดยหันมาเพิ่มสัดส่วนลงทุนในทองคำมากขึ้นเช่นกัน เพราะเชื่อว่าทองคำจะเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ ช่วยผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระดับที่ดี
ล่าสุด **YLG Bullion International** ได้จัดทำบทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 5 - 12 มิ.ย.ไว้อย่างน่าสนใจว่า ข่าวใหญ่ที่สร้างความผันผวนให้กับราคาทองคำในช่วงนี้คงต้องยกให้กับการปรับตัวขึ้นลงของกองทุน ETF SPDR Gold Trust ที่เมื่อต้นสัปดาห์มีการปรับเพิ่มการถือครองขึ้นถึง 15.27 ตันหรือประมาณ 1.36% มาอยู่ที่ระดับ 1,134.03 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่
แต่เมื่อถึงกลางสัปดาห์กลับปรับลดการถือครองลงมา -1.53 ตัน รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,132.50 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36.4 ล้านออนซ์
**โดยการปรับตัวขึ้นลงของกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดของโลกถือเป็นอุปสงค์ทองคำที่สำคัญมาก เนื่องจากทิศทางการถือทองของกองทุน ETF ถือเป็นทัศนคติและมุมมองของนักลงทุนในทองคำจำนวนมากของโลก**
ขณะที่ความผันผวนอย่างหนักของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อราคาทองคำ โดยปัจจัยที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นคือ การที่**นายทิมโมที่ ไกท์เนอ รมว. คลังสหรัฐ**ได้ออกมาพูดปกป้องเงินดอลลาร์สหรัฐที่จีน ถือเป็นปัจจัยที่เพิ่มความมั่นใจต่อนักลง ทุนในการถือครองสกุลเงินดังกล่าว ทว่าไม่ใช่การแข็งค่าจากปัจจัยพื้นฐานมากนัก
แต่การที่เบน **เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)** คาดว่าจะเห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเชิงบวกปลายปีนี้ แต่จะยังไม่ใช่การขยายตัวที่แข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานจะยังขยับสูงขึ้นต่อไปและยังไม่มีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อในระยะใกล้นี้ ขณะเดียวกันก็กำลังพยายามลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐลง พร้อมๆ
กับรักษาระดับการบริโภคมวลรวมให้มีเสถียรภาพเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป เรื่องนี้ได้ทำให้ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างมาก และส่งผลทำให้ทองคำปรับตัวลง
ขณะเดียวกัน **บริษัทโกลด์แมน แซคส์**ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันช่วงสิ้นปี 2009 โดยคาดว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ และราคาน้ำมันช่วงสิ้นปี 2010 อาจอยู่ที่ 95 ดอลลาร์ ทำให้เชื่อว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเร็ว จึงส่งผลให้กระแสเงินบางส่วนได้กลับมาซื้อน้ำมันและทองคำเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อนำความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมานำเสนอ เชื่อว่าจะเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ช่วยผู้สนใจจะเข้ามาลงทุนในทองคำ นำไปประกอบการพิจารณาได้ เพราะดูแล้ว **17,000** ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าพลิกล็อกหรือผิดเป้าไปจากที่คาดหมาย เพียงอยู่ที่ช่วงระยะเวลาไหนเท่านั้น ส่วนที่เริ่มมีกระแสว่า 24,000 บาทในช่วง
3เดือนสุดท้ายของปีอันนี้ยังถือว่ายังไกลเกินไปที่จะสรุปอะไรได้ในตอนนี้
**สำหรับ ในแวดวงการลงทุน เริ่มมีกระแสการพูดถึงกันในหมู่นักธุรกิจขนาดกลางว่า นักธุรกิจบางส่วนหันมาลงทุนในทองคำแท่งเพื่อเก็งกำไรในราคาทองกันมากขึ้นโดยวิธีมีการซื้อขายทองคำแท่งในน้ำหนักประมาณ 100 บาท หรือคิดเป็นเงินลงทุนราว 1.5 ล้านบาท และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูง ก็จะนำทองคำออกมาขายทำกำไร ซึ่งการซื้อขายทองคำแท่งในลักษณะ
นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในขณะนี้....แล้วคุณละ มีทองคำเก็บไว้ในพอร์ตหรือยัง?**
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวดี ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจหรือหลงระเริงกับมันมากไปนัก เพราะแรงซื้อที่เข้ามามากของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ย่อมเกิดความหวั่นวิตกต่อการเกิดแรงเทขายที่ย่อมมีกลับมาให้ได้เห็น แต่ในสัปดาห์นี้อยากจะขอพูดถึง สินทรัพย์มีค่าอย่างทองคำ
ซึ่งนับวันมูลค่าในตัวยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะมาในรูปแบบทะยาน หรือทยอยปรับตัวก็ตาม
**เป็นที่น่าตกใจไม่น้อย ที่เจ้าแท่งสีเหลืองอร่ามนี้ดีดตัวขึ้นอย่างอัศจรรย์ ไม่ต้องมองไปไหนให้ไกลตัว แค่ลองย้อนกลับเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา วันที่ 2 พ.ค. ราคาทองคำแท่งรับซื้อที่ 14,850 บาท/ทอง 1บาท ขายออกที่ 14,950 บาท แต่ ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 เวลา 16.00 น. ราคารับซื้อ 15,700 บาท และขายออก 15,800 บาท โดยระยะเวลา 34 วัน
มันมีส่วนต่างที่สร้างกำไรให้กับผู้ซื้อทองคำแท่งในวันนั้นถึงบาทละ 850 บาท ถ้ามีทองแท่ง 10 บาท คุณกำไรมีกำไรจากส่วนต่าง 8,500 บาท ถ้าเป็นน้ำหนัก 20 บาท ส่วนต่างจะเป็น 17,000 บาท**
และในวันนี้ **“17,000”** จะเป็นตัวเลข ที่จะถูกหยิบยกมาพูดถึงกันในรายงานพิเศษฉบับนี้ เพียงแต่มันไม่ใช่ส่วนต่างของผู้ที่ซื้อทองคำแท่งเมื่อ 2พ.ค. แต่มันจะเป็นความเป็นไปได้ที่ในเร็วๆนี้ เราผองพี่ เพื่อนพ้องคนไทยอาจจะได้ยลโฉม ตัวเลขราคาทองคำที่เขียนกันเป็นประจำบนบานกระจกของร้านทองทั่วกรุงเทพฯ และทุกๆจังหวัด มีตัวเลข 17,000 บาท ปรากฏขึ้น
เพราะแม้แต่บรรดาเกจิ กูรูชื่อดังหลายต่อหลายยังต้องยอมรับถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวแล้วว่า **มีความเป็นไปได้ในเร็วๆนี้**
ปัจจุบัน ราคาทองที่สูงขึ้นไม่ได้ส่งผลดีกับบรรดามนุษย์เงินเดือนมากสักเท่าไร แต่กลับสร้างความยากลำบากในการให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดังกล่าวมากขึ้น ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้มายังอยู่ในระดับเดิมๆ แต่ราคาที่ต้องควักจ่ายไปนั้นเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าแต่กาลก่อน
หนำซ้ำ เรื่องนี้ยังส่งผลต่อบรรดาร้านทองที่ให้บริการ ไม่เชื่อลองสังเกตหรือถามเจ้าของร้านดูได้ ว่าปริมาณลูกค้าที่เข้ามาซื้อทองรูปพรรณในยุคนี้ มีอยู่เท่าใด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับทราบมา พบว่าปริมาณซื้อขายทองรูปพรรณในไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ยประมาณ 20% ในรอบ 3ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลกระทบไปถึงบรรดาแรงงานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่าง “ช่างทอง”
ที่หลีกเลี่ยงกับคำว่า “ตกงาน”ได้อย่างยากลำบาก และน่าจะเป็นสิ่งที่คนที่มีอำนาจ หรือเกี่ยวข้องควรยื่นมือเข้ามามองปัญหานี้
ย้อนกลับมาที่ **17,000** จากสถานการณ์ในขณะนี้ที่ราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศมีการปรับตัววเพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการอ่อนค่าลงไป ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นจนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามาแทรกแซง รวมทั้งผลด้านจิตวิทยาการลงทุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของนักลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ทิศทางชัดเจนถึงการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ยังนับเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาทองคำให้ดีดตัวต่อไป แม้ช่วง 2-3วันที่ผ่านมา ราคาทองจะมีการปรับตัวลดลงไปบ้างก็ตาม
**สัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก** ให้ความเห็นว่า ในเดือนนี้ถือว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำจะสถิติใหม่ ส่วนจะขึ้นไปถึง 17,000 บาท ต้องดูกันที่การแทรกแซงค่าเงินของแบงก์ชาติประกอบด้วยว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่ด้านราคาทองคำต่างประเทศขึ้นไปแตะ 1,000 เหรียญ/ออนซ์มีโอกาสได้เห็น อีกทั้งหากมองในทางเทคนิคอย่างเดียว
ก็มีโอกาสที่ราคาจะขยับเพิ่มขึ้นแตะ 1,200 – 1,300 เหรียญ/ออนซ์ ในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน แต่มีความเป็นไปได้น้อย เพราะต้องไม่ลืมถึงการแทรงแซงค่าเงินของภาครัฐมาประกอบการพิจารณาด้วย
ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำขยับตัว ขึ้น ไปด้วยเช่น แต่ที่ดูจะมีแรงผลักดันมากที่สุดก็ยังหนีไม่พ้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง เพราะทุกวันนี้การซื้อขายทองคำใช้เงินสกุลดังกล่าวเป็นตัวหลัก ดังนั้นเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงยิ่งทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายต่อทองคำ1ออนซ์สูงไปด้วยโดยอัตโนมัติ
แม้ค่าเงินของหลายประเทศจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม
** กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสาทรธานี และผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยรังสิต** กล่าวว่า หากมองเฉพาะปัจจัยในด้านราคาน้ำมัน ที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น เรา ต้องติดตามการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก เพราะหากมีการปรับลดกำลังผลิตลงจากเดิม
เรื่องนี้จะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัว ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมต่างๆจำเป็นต้องใช้พลังงานมาเป็นส่วนประกอบ และเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น แากจุดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่แรงผลักดันดังกล่าวจะกระตุ้นใ ห้ราคาทองคำขยับตัวเพิ่มขึ้นอีก
**ทอม แพวลิคี นักวิเคราะห์บริษัทเอ็มเอฟ โกลบัล** กล่าวว่า ทองคำอาจแตะ 1,000ดอลลาร์อีกครั้งในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่า กองทุนบริหารความเสี่ยงมีการซื้อทองคำมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ทองคำอาจจะกลับมาอยู่ที่ประมาณ900 ดอลลาร์ได้หากหุ้นยังคงพุ่งต่อไป
**จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ** กล่าวว่า ราคาทองคำต่างประเทศ ในขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งคาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้ ราคาทองคำ อาจปรับตัวสูงขึ้นทำลายสถิติใหม่ ซึ่งสูงกว่าบาทละ 16,400 บาท ที่เป็นราคาสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน
**บุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออส สิริส จำกัด** กล่าวว่าแนวโน้มราคาทองคำว่า ยังมีโอกาสปรับตัวต่อเนื่องเพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุนราคาทองคำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความกังวลจากวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาน้ำมัน และปัญหาเงินเฟ้อในอนาคต โดยมองว่าภายในอีก 6 เดือนข้างหน้ามีโอกาสสูงที่ราคาจะขยับขึ้นมาแตะ 17,000 บาท
ต่อน้ำหนัก 1 บาทในทองคำ 96.50%
โดยปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก 1.กระแสเงินทุนทั้งในและต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ยังไหลเข้ามาสู่สินทรัพย์ประเภททองคำในรูปแบบต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลงก็มีผลต่อราคาทองคำ และ 3.ภาวะ เศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นและราคาน้ำมันที่ปรับตัวในระดับสูง มีโอกาสทำให้ปัญหาเงินเฟ้อกลับมา
ซึ่งการลงทุนผ่านทองคำสามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้
อีกทั้งหากพิจารณาพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ จะพบว่าส่วนใหญ่บรรดากองทุนได้เปลี่ยนแปลงสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ โดยหันมาเพิ่มสัดส่วนลงทุนในทองคำมากขึ้นเช่นกัน เพราะเชื่อว่าทองคำจะเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ ช่วยผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระดับที่ดี
ล่าสุด **YLG Bullion International** ได้จัดทำบทวิจัยแนวโน้มตลาดทองคำ ประจำวันที่ 5 - 12 มิ.ย.ไว้อย่างน่าสนใจว่า ข่าวใหญ่ที่สร้างความผันผวนให้กับราคาทองคำในช่วงนี้คงต้องยกให้กับการปรับตัวขึ้นลงของกองทุน ETF SPDR Gold Trust ที่เมื่อต้นสัปดาห์มีการปรับเพิ่มการถือครองขึ้นถึง 15.27 ตันหรือประมาณ 1.36% มาอยู่ที่ระดับ 1,134.03 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่
แต่เมื่อถึงกลางสัปดาห์กลับปรับลดการถือครองลงมา -1.53 ตัน รวมถือทองคำไว้ทั้งสิ้น 1,132.50 ตัน เทียบเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.55 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36.4 ล้านออนซ์
**โดยการปรับตัวขึ้นลงของกองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดของโลกถือเป็นอุปสงค์ทองคำที่สำคัญมาก เนื่องจากทิศทางการถือทองของกองทุน ETF ถือเป็นทัศนคติและมุมมองของนักลงทุนในทองคำจำนวนมากของโลก**
ขณะที่ความผันผวนอย่างหนักของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อราคาทองคำ โดยปัจจัยที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นคือ การที่**นายทิมโมที่ ไกท์เนอ รมว. คลังสหรัฐ**ได้ออกมาพูดปกป้องเงินดอลลาร์สหรัฐที่จีน ถือเป็นปัจจัยที่เพิ่มความมั่นใจต่อนักลง ทุนในการถือครองสกุลเงินดังกล่าว ทว่าไม่ใช่การแข็งค่าจากปัจจัยพื้นฐานมากนัก
แต่การที่เบน **เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)** คาดว่าจะเห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจในเชิงบวกปลายปีนี้ แต่จะยังไม่ใช่การขยายตัวที่แข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานจะยังขยับสูงขึ้นต่อไปและยังไม่มีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อในระยะใกล้นี้ ขณะเดียวกันก็กำลังพยายามลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐลง พร้อมๆ
กับรักษาระดับการบริโภคมวลรวมให้มีเสถียรภาพเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป เรื่องนี้ได้ทำให้ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างมาก และส่งผลทำให้ทองคำปรับตัวลง
ขณะเดียวกัน **บริษัทโกลด์แมน แซคส์**ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันช่วงสิ้นปี 2009 โดยคาดว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ และราคาน้ำมันช่วงสิ้นปี 2010 อาจอยู่ที่ 95 ดอลลาร์ ทำให้เชื่อว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเร็ว จึงส่งผลให้กระแสเงินบางส่วนได้กลับมาซื้อน้ำมันและทองคำเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อนำความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมานำเสนอ เชื่อว่าจะเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ช่วยผู้สนใจจะเข้ามาลงทุนในทองคำ นำไปประกอบการพิจารณาได้ เพราะดูแล้ว **17,000** ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าพลิกล็อกหรือผิดเป้าไปจากที่คาดหมาย เพียงอยู่ที่ช่วงระยะเวลาไหนเท่านั้น ส่วนที่เริ่มมีกระแสว่า 24,000 บาทในช่วง
3เดือนสุดท้ายของปีอันนี้ยังถือว่ายังไกลเกินไปที่จะสรุปอะไรได้ในตอนนี้
**สำหรับ ในแวดวงการลงทุน เริ่มมีกระแสการพูดถึงกันในหมู่นักธุรกิจขนาดกลางว่า นักธุรกิจบางส่วนหันมาลงทุนในทองคำแท่งเพื่อเก็งกำไรในราคาทองกันมากขึ้นโดยวิธีมีการซื้อขายทองคำแท่งในน้ำหนักประมาณ 100 บาท หรือคิดเป็นเงินลงทุนราว 1.5 ล้านบาท และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูง ก็จะนำทองคำออกมาขายทำกำไร ซึ่งการซื้อขายทองคำแท่งในลักษณะ
นี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในขณะนี้....แล้วคุณละ มีทองคำเก็บไว้ในพอร์ตหรือยัง?**