ผู้บริหาร ตลท.ยอมรับสถานการณ์ตลาดหุ้นปี 52 ยังผันผวน และมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงสูง อีกหลายรอบ ขณะที่สภาพคล่องในระบบมีสูงมากนับล้านล้านบาท สอดรับกับแผนการออกพันธบัตรเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ไหลเข้าไปในตลาดแห่งนี้ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดี มีความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เป็นการลงทุนที่มั่นคง หลีกเลี่ยงความผันผวนจากตลาดหุ้น และความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืด หลังเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 5 เดือน จับตากลไกตลาดจะดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินไปสู่ตลาดพันธบัตร และการเก็งกำไรค่าเงินที่จะทำให้เงินบาทผันผวนลดลง
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงสถานการณ์และทิศทางภาพรวมการลงทุนในปี 2552 โดยระบุว่า ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ฟื้นตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา โดยการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นนี้ จะเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง ลงทุนอย่างมีความรู้ ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง
ผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ สภาพคล่องของเม็ดเงินลงทุนค่อนข้างดี เพียงใน 3 เดือนแรกของปี 2552 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท แต่ในขณะนี้เพิ่มขึ้นถึง 14,000 ล้านบาท และในศุกร์ที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นถึง 25,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเงินทุนจากต่างประเทศ ไหลเข้ามาลงทุน รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากในประเทศ จากนักลงทุนสถาบันรายย่อย ที่เริ่มกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น
แต่เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้น นักลงทุนยังคงต้องมีการเลือกลงทุนในรายอุตสาหกรรม และขอแนะนำว่า ปัจจุบันช่องทางการลงทุนมีค่อนข้างหลากหลาย ทั้งตราสารหนี้ หุ้นกู้ อนุพันธ์ และการซื้อขายทองคำล่วงหน้า นักลงทุนควรผสมผสานการลงทุนที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หากรัฐบาลออกพันธบัตรมากู้เงินขณะนี้ ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนแน่นอน เพราะการออกตราสารหนี้ ในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดมีความต้องการจองซื้อมากกว่าจำนวนที่ออกจำหน่ายค่อนข้างมาก โดยความสนใจจะขึ้นกับปัจจัย เรื่องอัตราดอกเบี้ย และอายุของตราสารนั้นๆ
นางจิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคระห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน ) กล่าวว่า หุ้นไทย มีโอกาสปรับขึ้น 690 จุด ในเดือนสิงหาคม 2552 นี้ พร้อมส่งสัญญาณเตือนว่า ในช่วงระยะหลังจากนี้ เมื่อมีความชัดเจนเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่จะออกมาเป็นลบ จะทำให้ดัชนีจะปรับลดลงหรือพับฐานประมาณ 100 จุด ส่วนหุ้นที่นักลงทุนควรเลือกลงทุนนั้น ควรเป็นธุรกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว มีโครงสร้างการเงินแข็งแกร่ง ประกอบการในไตรมาสที่ 1 ออกมาดี สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นเอซีย ยังถือว่าตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดที่จ่ายปันผลดีที่สุดในเอเชีย เฉลี่ยร้อยละ 5.1 ส่วนประเทศอื่นอยู่ที่ร้อยละ 3.6
ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนช้าที่สุดในภูมิภาคนี้ ทำให้ดัชนีปรับสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นดัชนีได้ปรับตัวลดลงแล้ว ดังนั้นตลาดหุ้นไทย จึงมีโอกาสถูกขายทำกำไรหลังจากนี้ ประกอบกับมีปัจจัยที่กองทุนต่างๆ จะเร่งทำผลกำไรปิดไตรมาส 2
นายสุกิจ ยังแนะให้จับตาทิศทางตลาดพันธบัตร เริ่มคึกคัก และมีแนวโน้มที่จะบูมมากหลังจากนี้ไป เพราะรัฐบาลทั่วโลกมีแผนออกพันธบัตรนำเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าจะมีผลตอบแทนดีกว่าผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดหุ้น อาจมีความตื่นตระหนก เทขายหุ้นออกมา ดังนั้นในระยะสั้น ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐานลดลง แต่ในระยะยาวอาจมีการปรับฐานขึ้นอีกครั้งไปสูงถึง 700-800 จุด ส่วนระดับราคาที่เหมาะที่จะลงทุนได้ ควรเป็นราคา ที่ดัชนีต่ำกว่า 600 จุด ผลตอบแทนต่อการลงทุน 10 -11 เท่า ดัชนีตลาดเฉลี่ยทั้งปีอยู่ 550 จุด ปีหน้า 630-640 จุด