บลจ.แมนูไลฟ์ ชี้หุ้นพุ่งเหนือ 600จุด ได้อานิสงส์นักลงทุนต่างชาติ โยกเงินจากพันธบัตรเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง แนะเงินทุนไหลเข้า ตัวแปรสำคัญ ระบุนักลงทุนเริ่มปรับพอร์ตทำกำไร โยกหาหุ้นราคาถูกพื้นฐานดี เผยกลยุทธ์กองทุนหุ้น ขายหุ้นใหญ่ในพอร์ต พร้อมลดพอร์ตหุ้นกลุ่มอสังหาฯ รับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โยกลงทุนสื่อสาร-โรงไฟฟ้าแทน
นายพนุกร จันทรประภพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศไหลที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงขณะนี้ ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นทำได้ยากมาก ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพราะนักลงทุนไม่อาจทราบได้ว่า เมื่อไหร่ที่นักลงทุนเหล่านี้จะมีการถอนเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์อย่างอื่นแทน ทั้งนี้ เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง มาจากนักลงทุนโยกเงินจากการลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาลงทุนในเอเชียแทน
ขณะเดียวกัน การที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาตินั้น เนื่องจากราคาตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบราคากับตลาดเพื่อนบ้าน แม้จะปรับขึ้นมาบ้างแล้ว โดยจากต้นปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งอาจจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในขณะนี้ได้สะท้อนถึงข่าวดีต่างๆ และปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแล้ว ดังนั้น การที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงหรือไม่ นักลงทุนจะต้องดูดีมานด์ของนักลงทุนต่างชาติว่าเป็นอย่างไร
"การลงทุนตลาดพันธบัตร เงินฝาก หรือสินทรัพย์อย่างอื่นนั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้น หากภาพรวมเศรษฐกิจและทุกอย่างดูดีจะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ขณะเดียวกัน คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นหลังจากนี้จะวิ่งอยู่ 600 จุด โดยอาจจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกิน 20 จุด แต่โอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จะต้องรอดูการเข้าซื้อของต่างชาติเป็นหลัก"นายพนุกรกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยโดยรวมแล้ว โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้นคงมีไม่เยอะมากนัก เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ เป็นราคาหุ้นที่เกินปัจจัยพื้นฐานมาแล้ว จึงอาจจะทำให้นักลงทุนสับเปลี่ยนอุตสาหกรรม จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ย้ายไปลงทุนในกลุ่ม สื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ราคาหุ้นไม่ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก
นายพนุกร กล่าวอีกว่า การที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือ 600 จุด ทำให้บริษัทมีการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการ โดยบริษัทจะขายหุ้นที่มีราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน ทั้งหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร รวมไปถึงหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ต และถือเงินสดไว้ประมาณ 2-3% เพื่อที่จะนำเงินสดเหล่านี้ไปลงทุนต่อในหุ้นกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงฟ้าฟ้า ซึ่งเรามองว่าราคาหุ้นไม่เกินปัจจัยพื้นฐาน โอกาศที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีความเป็นไปได้สูงและยังสามารถทำกำไรในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุที่บริษัทนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกมาขายเพื่อทำกำไรนั้น เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้ อาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้เริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น ซึ่งจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้น ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไม่มากเหมือนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนของแมนูไลฟ์ได้แนะนำนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นว่า นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้นให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเร็วและแรงมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างมองภาคเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นั้นดีเกินไป เพราะหากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วแล้วไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงมากก็มีความเป็นไปได้
ทั้งนี้ จากการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทย ส่งผลให้ผลการดำเนินบานของกองทุนปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดย ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 พบว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ หุ้นระยะยาว มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 50.17 % ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 58.20% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่-19.50% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 39.22%
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ อิควิตี้ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 50.38 % ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 59.08% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่-25.04% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 37.18%
ด้านกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ แวลู มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 43.87% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 57.80% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -15.11%และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 36.02%
นายพนุกร จันทรประภพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศไหลที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงขณะนี้ ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นทำได้ยากมาก ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร เพราะนักลงทุนไม่อาจทราบได้ว่า เมื่อไหร่ที่นักลงทุนเหล่านี้จะมีการถอนเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์อย่างอื่นแทน ทั้งนี้ เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียอย่างต่อเนื่อง มาจากนักลงทุนโยกเงินจากการลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาลงทุนในเอเชียแทน
ขณะเดียวกัน การที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาตินั้น เนื่องจากราคาตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบราคากับตลาดเพื่อนบ้าน แม้จะปรับขึ้นมาบ้างแล้ว โดยจากต้นปีที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งอาจจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นในขณะนี้ได้สะท้อนถึงข่าวดีต่างๆ และปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแล้ว ดังนั้น การที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงหรือไม่ นักลงทุนจะต้องดูดีมานด์ของนักลงทุนต่างชาติว่าเป็นอย่างไร
"การลงทุนตลาดพันธบัตร เงินฝาก หรือสินทรัพย์อย่างอื่นนั้นให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้น หากภาพรวมเศรษฐกิจและทุกอย่างดูดีจะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในหุ้นนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ขณะเดียวกัน คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นหลังจากนี้จะวิ่งอยู่ 600 จุด โดยอาจจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกิน 20 จุด แต่โอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ จะต้องรอดูการเข้าซื้อของต่างชาติเป็นหลัก"นายพนุกรกล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยโดยรวมแล้ว โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้นคงมีไม่เยอะมากนัก เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ เป็นราคาหุ้นที่เกินปัจจัยพื้นฐานมาแล้ว จึงอาจจะทำให้นักลงทุนสับเปลี่ยนอุตสาหกรรม จากก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ย้ายไปลงทุนในกลุ่ม สื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ราคาหุ้นไม่ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก
นายพนุกร กล่าวอีกว่า การที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่เหนือ 600 จุด ทำให้บริษัทมีการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการ โดยบริษัทจะขายหุ้นที่มีราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน ทั้งหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร รวมไปถึงหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ต และถือเงินสดไว้ประมาณ 2-3% เพื่อที่จะนำเงินสดเหล่านี้ไปลงทุนต่อในหุ้นกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงฟ้าฟ้า ซึ่งเรามองว่าราคาหุ้นไม่เกินปัจจัยพื้นฐาน โอกาศที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีความเป็นไปได้สูงและยังสามารถทำกำไรในระยะยาวได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุที่บริษัทนำหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกมาขายเพื่อทำกำไรนั้น เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้ อาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้เริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น ซึ่งจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้น ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ไม่มากเหมือนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนของแมนูไลฟ์ได้แนะนำนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นว่า นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้นให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเร็วและแรงมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างมองภาคเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้นั้นดีเกินไป เพราะหากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วแล้วไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงมากก็มีความเป็นไปได้
ทั้งนี้ จากการปรับตัวของดัชนีหุ้นไทย ส่งผลให้ผลการดำเนินบานของกองทุนปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย โดย ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2552 พบว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ หุ้นระยะยาว มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 50.17 % ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 58.20% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่-19.50% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 39.22%
สำหรับกองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ อิควิตี้ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 50.38 % ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 59.08% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่-25.04% และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 37.18%
ด้านกองทุนเปิดแมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ แวลู มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 43.87% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 57.80% ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -15.11%และผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 36.02%