ASTVผู้จัดการายวัน - บลจ.ไอเอ็นจี มองหุ้นไทย อยู่ในช่วงปรับฐาน ตามตลาดหุ้นทั่วโลก ชี้ความกังวลเศรษฐกิจโลก-การเมืองไทย ปัจจัยกดดันสำคัญ ลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนบรรยากาศลงทุนในประเทศฟื้น ล่าสุด จับจังหวะเศรษฐกิจแดนมังกรขาขึ้น ส่งกองทุน "ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า" ดักรอหุ้น "จีน-ฮ่องกง-ไต้หวัน"
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยประเมินว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) น่าจะเป็นบวก หลังจากติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังนั้น มองว่ามีโอกาสปรับขึ้นต่อแต่ในอัตราที่น้อยกว่าการปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งในระยะสั้นดัชนีราคาหุ้นยังปรับฐานเหมือนกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปัจจัยที่กดดันคือ ภาวะเศรฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่มั่นใจว่าจะฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายที่คาดว่าจะฟื้นปีหลัง และสถานการณ์ทางการเมืองที่คาดการณ์ได้ยาก
ทั้งนี้ หากการเมืองมีเสถียรภาพ และโครงการลงทุนของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็จะเป็นบรรยากาศที่ดีสำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งบลจ.หลายแห่งกำลังรอความชัดเจนในโครงการของภาครัฐ เพื่อขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการออกกองทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าของกองทุนที่จะทยอยออกมาเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีเเรกที่ผ่านมา บลจ.มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งเมื่อต้นปีเราตั้งเป้าไว้ 20% ส่วน โดยปี 2551 บลจ.มีสินทรัยประมาณ180,000 ล้านบาท ในช่วงที่เวลาที่เหลือก็บลจ.จะมีทยอยขายกองทุนประเภทตราสารหนี้ทั้งในประเทศเเละต่างประเทศ เเละกองทุนคอมมอนิตี ที่เน้นลงทุนใน Hard Commodity หรือ น้ำมัน ทองคำ เงิน เหล็ก ส่วน Soft Commodity เช่นข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลเนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวมีความเสี่ยงค่อนข้างมากเเละไม่เหมือนกับการลงทุนในหุ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ กลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า ที่ประกอบไปด้วย ประเทศจีน ไต้หวัน เเละ ฮ่องกง ก็น่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็ว โดยจีนนับเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ขณะที่ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าขายของเอเชียและเป็น จุดเชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดโลก ส่วนไต้หวันก็เป็นผู้นำตลาดสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการใช้จีนเป็นฐานผลิตที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เราจึงเตรียมเสนอขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า (ING Thai Greater China Fund) ซึ่งเป็นกองทุนที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่จัดตั้ง ประกอบธุรกิจ หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวันและฮ่องกง ผ่านกองทุนเปิดไอเอ็นจี (แอล) อินเวสท์ เกรทเทอร์ ไชน่า ซึ่งเป็นกองทุนต้นทางบริหารจัดการโดยกลุ่มไอเอ็นจี โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนตั้งเเต่วันนี้ จนถึง 17 กรกฎาคม 2552
ทั้งนี้ เราประเมินว่ายอดการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล เช่นเดียวกับการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะจากตัวเลขปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2009 พบว่า ขยับสูงถึง 26.17 ล้านล้านบาท ขณะที่โครงการวางระบบสาธารณูปโภคของจีนในการขยายระบบทางหลวงอีก 40 ล้านกิโลเมตรในอีก 10 ปีข้างหน้า และนโยบายการพัฒนาและสร้างเมืองใหม่ (Urbanization) ของจีนที่จะทำให้ในอีก 15 ปีข้างหน้า ประชากรจีนจากชนบทจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองอีกกว่า 220 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่กลุ่มการเงิน-ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และการบริการจะเติบโตเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง
"การที่รัฐบาลไต้หวันได้พยายามดำเนินมาตรการกระชับความสัมพันธ์ทางด้านการลงทุนกับประเทศจีน ทำให้เศรษฐกิจของทั้งคู่มีการขยายตัวขึ้น ส่วนการที่รัฐบาลจีนได้อนุญาตให้ธนาคารของฮ่องกงเข้ามาเปิดสาขาในประเทศจีนก็เป็นผลดีของทั้งคู่เช่นกัน"นายจุมพล กล่าว
ด้านนางสาวมนชญา รัชตกุล ผู้จัดการกองทุนของไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศจีนได้ออกมาระบุว่า เศรษฐกิจของจีนในช่วงไตรมาส 2 น่าจะดีกว่าในช่วงไตรมาสก่อนที่จีดีพีอยู่ที่ 6.1% จากปลายปีที่แล้วที่เศรษฐกิจได้ตกต่ำ ซึ่งมาจากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขค้าปลีก ดัชนีการผลิต (PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงราคาสินค้าคอมมูนิตี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากสต็อกเดิมที่เริ่มลดลง ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าจีดีพีของจีนในปีหน้ามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 8.3% เป็น 9.6%
สำหรับฮ่องกงเรามองว่าไตรมาส1ที่ผ่านมา จีดีพีจะเป็นจุดต่ำสุดเช่นกัน เนื่องจากการส่งออกได้ลดลงอย่างมาก โดยเศรษฐกิจของฮ่องกงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก คือ การส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ สำหรับไต้หวันการเติบโตขึ้นอยู่กับสินค้าประเภทเทคโนโลยี ซึ่งจะมีการส่งออกไปประกอบที่ประเทศจีน อีกทั้งประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจของไต้หวันจะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้