บลจ.ยูโอบี มองโอกาสศก.เอเชียฟื้น ส่งกองทุนลุยหุ้นแบงก์ ที่ยังแข็งแกร่ง ทุนสำรองเพียงพอรับมือวิกฤต คาดไอพีโอได้สิงหาคมนี้ ส่วนผลงานกองทุนเอฟไอเอฟล่าสุด กองหุ้นจีน-สหรัฐ ผลตอบแทนเด้งกลับ แนะนักลงทุน ถือหน่วยรอราคาขยับต่อ
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหุ้นในประเทศภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเป็นกองทุนที่เข้าไปผลประโยชน์จากภูมิภาคเอเชียในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ และเป็นการปูพื้นฐานให้กับนักลงทุน คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2552 นี้
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชียมีความแข็งแกร่งทางเงินทุนสำรอง และมั่นใจมีเงินทุนเพียงพอต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่หลักเกณฑ์ในการเลือกเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเลือกธนาคารพาณิชย์ที่มีการเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีฐานเงินทุนเพียงพอต่อการรับมือในกรณีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้งได้ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชียไม่ได้ลงทุนในตราสารประเภท CDO (Collateralized Debt Obligation) ตั้งแต่แรก เนื่องจากเพิ่งผ่านวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาไม่นานนัก
สำหรับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า ซึ่งเป็นกองทุนต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน ณ ราคาเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกที่10 บาท หากไม่มีเวลาดูตลาด ควรลงทุนต่อ โดยเชื่อว่ามูลค่าหน่วยลงทุนในอนาคตมีโอกาสปรับลงไม่มาก เนื่องจากในช่วงที่ราคาได้ปรับลงมามากแล้ว หากนักลงทุนขายออกไปแล้วจะมาจับจังหวะเข้าซื้ออีกครั้งในช่วงที่ราคาสะท้อนกลับ (Rebound) ไปแล้วนักลงทุนอาจจะซื้อไม่ทัน ซึ่งราคาจะขยับขึ้นไปเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภายใน 1-2 ปีมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวน่าจะกลับขึ้นไปที่ 10 บาทได้ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาราคาได้หายไปประมาณ 35% โดยระยะสั้นแล้ว นักลงทุนควรรอซื้อเมื่อราคาปรับลงมาดีกว่า ซึ่งล่าสุด ราคาอยู่ที่ประมาณ 5.86 บาท
ส่วนกองทุนที่ออกไปลงทุนในหุ้นสหรัฐ อย่างกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท ไฟแนนเชียล ออพพอร์จูนนิตี้ (UOBSFO) นายวนาเปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราผลตอบแทนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนนี้ได้ปรับขึ้นมาอยู่ 8 บาทในปัจจุบันจากเดิมที่อยู่ 5 บาท โดยในปัจจุบันมีการลงทุนประมาณ 74% ของพอร์ตลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวได้เข้าไปลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาประมาณ 40.11% สเปน 13.86% ไอร์แลนด์12.62% อังกฤษ 9.78% ซึ่งมีการถือครองเงินสดประมาณ 23.63% แต่ก็มีการเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนี่อง เมื่อมีกำไรก็จะทำการขายหุ้นออกมาบางส่วน
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท สมาร์ท ไฟแนนเชียล ออพพอร์จูนนิตี้ ย้อนหลัง 3 เดือน สิ้นสุด วันที่ 29 พฤษภาคม 2552 สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 43.85% ซึ่งผลตอบแทนค่อนข้างดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชีย และจีนของบริษัทอย่างกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เอเชีย (UOBSA)ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 31.73% ขณะที่กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า (UOBSGC) ให้ผลตอบแทนที่ 35.40%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐได้ผ่านการทำการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress test) เป็นจำนวนมาก ส่วนธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติก็ยังสามารถเพิ่มทุนได้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ต้องเพิ่มทุนสามารถไปหาเงินมาคืนรัฐบาลได้ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐยังมีการตั้งเงินทุนสำรองค่อนข้างสูงด้วย ขณะที่ยุโรปไม่ได้ทำ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีตัวเลขหลายตัวที่ออกมาดีด้วย
นายวนา กล่าวต่อว่า บริษัทให้ความสนใจออกกองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น เนื่องจากเหมาะสมกับจังหวะวงจรของตลาดหุ้น และมองว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น สินทรัพย์ที่น่าลงทุนน่าจะเป็นหุ้น และจะมีทั้งแบบกองทุนปิด และกองทุนเปิด ส่วนกองทุนที่มีการตั้งเป้าหมายผลตอบแทน (Target Fund) จะมีกองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ (UOBSS) เป็นต้นแบบ ซึ่งตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ได้ 10% ภายในปีแรก แต่หากไม่สามารถทำได้จะเพิ่มเป้าหมายผลตอบแทนที่ 20% ภายในปีที่สองนั่นเอง
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหุ้นในประเทศภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเป็นกองทุนที่เข้าไปผลประโยชน์จากภูมิภาคเอเชียในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ และเป็นการปูพื้นฐานให้กับนักลงทุน คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2552 นี้
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชียมีความแข็งแกร่งทางเงินทุนสำรอง และมั่นใจมีเงินทุนเพียงพอต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่หลักเกณฑ์ในการเลือกเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเลือกธนาคารพาณิชย์ที่มีการเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีฐานเงินทุนเพียงพอต่อการรับมือในกรณีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้งได้ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชียไม่ได้ลงทุนในตราสารประเภท CDO (Collateralized Debt Obligation) ตั้งแต่แรก เนื่องจากเพิ่งผ่านวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาไม่นานนัก
สำหรับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า ซึ่งเป็นกองทุนต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน ณ ราคาเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรกที่10 บาท หากไม่มีเวลาดูตลาด ควรลงทุนต่อ โดยเชื่อว่ามูลค่าหน่วยลงทุนในอนาคตมีโอกาสปรับลงไม่มาก เนื่องจากในช่วงที่ราคาได้ปรับลงมามากแล้ว หากนักลงทุนขายออกไปแล้วจะมาจับจังหวะเข้าซื้ออีกครั้งในช่วงที่ราคาสะท้อนกลับ (Rebound) ไปแล้วนักลงทุนอาจจะซื้อไม่ทัน ซึ่งราคาจะขยับขึ้นไปเร็วมาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภายใน 1-2 ปีมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวน่าจะกลับขึ้นไปที่ 10 บาทได้ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาราคาได้หายไปประมาณ 35% โดยระยะสั้นแล้ว นักลงทุนควรรอซื้อเมื่อราคาปรับลงมาดีกว่า ซึ่งล่าสุด ราคาอยู่ที่ประมาณ 5.86 บาท
ส่วนกองทุนที่ออกไปลงทุนในหุ้นสหรัฐ อย่างกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท ไฟแนนเชียล ออพพอร์จูนนิตี้ (UOBSFO) นายวนาเปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราผลตอบแทนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนนี้ได้ปรับขึ้นมาอยู่ 8 บาทในปัจจุบันจากเดิมที่อยู่ 5 บาท โดยในปัจจุบันมีการลงทุนประมาณ 74% ของพอร์ตลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวได้เข้าไปลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาประมาณ 40.11% สเปน 13.86% ไอร์แลนด์12.62% อังกฤษ 9.78% ซึ่งมีการถือครองเงินสดประมาณ 23.63% แต่ก็มีการเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนี่อง เมื่อมีกำไรก็จะทำการขายหุ้นออกมาบางส่วน
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท สมาร์ท ไฟแนนเชียล ออพพอร์จูนนิตี้ ย้อนหลัง 3 เดือน สิ้นสุด วันที่ 29 พฤษภาคม 2552 สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 43.85% ซึ่งผลตอบแทนค่อนข้างดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนที่ลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชีย และจีนของบริษัทอย่างกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เอเชีย (UOBSA)ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 31.73% ขณะที่กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ไชน่า (UOBSGC) ให้ผลตอบแทนที่ 35.40%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐได้ผ่านการทำการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress test) เป็นจำนวนมาก ส่วนธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติก็ยังสามารถเพิ่มทุนได้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ต้องเพิ่มทุนสามารถไปหาเงินมาคืนรัฐบาลได้ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐยังมีการตั้งเงินทุนสำรองค่อนข้างสูงด้วย ขณะที่ยุโรปไม่ได้ทำ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีตัวเลขหลายตัวที่ออกมาดีด้วย
นายวนา กล่าวต่อว่า บริษัทให้ความสนใจออกกองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น เนื่องจากเหมาะสมกับจังหวะวงจรของตลาดหุ้น และมองว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น สินทรัพย์ที่น่าลงทุนน่าจะเป็นหุ้น และจะมีทั้งแบบกองทุนปิด และกองทุนเปิด ส่วนกองทุนที่มีการตั้งเป้าหมายผลตอบแทน (Target Fund) จะมีกองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ (UOBSS) เป็นต้นแบบ ซึ่งตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ได้ 10% ภายในปีแรก แต่หากไม่สามารถทำได้จะเพิ่มเป้าหมายผลตอบแทนที่ 20% ภายในปีที่สองนั่นเอง