ไอเอ็มเอฟ คาดประเทศมหาอำนาจ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า เชื่อสหรัฐฯ มีแผนรับมือได้รวดเร็วที่สุด ชี้ต้นตอภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคเอกชนที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากที่เศรษฐกิจซบเซามานาน จนเกิดความกลัวและตัดสินใจใช้เงินให้น้อยลง และวิกฤตการเงินที่ลุกลามไปยังตลาดเกิดใหม่ ขณะที่ "เอดีบี" ระบุ การจ้างงาน-การค้า-การผลิต บ่งชี้การถดถอยที่ชัดเจน ศก.เอเซียปีหน้า อาจชะลอลงอีก หลังยอดส่งออกติดลบ
วันนี้ ( 7 พ.ย.) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น จะหดตัวลงในปีหน้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจเข้าสู่ภาวะถดถอยนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ไอเอ็มเอฟแนะนำว่า รัฐบาลของประเทศดังกล่าวต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อยับยั้งภาวะถดถอย ในขณะเดียวกันธนาคารกลางของบางประเทศควรลดดอกเบี้ยอีก แต่ไม่ได้ระบุว่าประเทศใดบ้าง
นายโอลิเวียร์ บลังชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า ในวินาทีนี้ รัฐบาลของแต่ละประเทศ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุด
ด้านนายจอร์ก ดีเครสซิน หัวหน้าฝ่ายศึกษาเศรษฐกิจโลกของไอเอ็มเอฟ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า สหรัฐอเมริกาจะยังสามารถใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก เช่นเดียวกับยุโรปและจีน
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า สภาพการณ์ในปัจจุบันค่อนข้างย่ำแย่ นับตั้งแต่ที่ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วลงสู่ระดับหดตัว 0.3% จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.5%
สำหรับปีหน้า ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.2% ลดลงจาก 3% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
ด้านเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 0.7% จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัว 0.1% ส่วนเศรษฐกิจยุโรปจะหดตัวลง 0.5% จากที่เคยคาดไว้ว่าจะขยายตัว 0.2%
"ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ ประการแรก คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคเอกชนที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากที่เศรษฐกิจซบเซามานาน ในที่สุดพวกเขาก็เกิดความกลัวและตัดสินใจใช้เงินให้น้อยลง ประการที่สอง คือ วิกฤตการเงินที่ลุกลามไปยังตลาดเกิดใหม่"
นอกจากนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร่วงหนักก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ร่วงลงกว่า 50% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อเทียบสัดส่วนประชากร ถือว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบันมีความรุนแรงเทียบเท่ากับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980 โดยไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงปลายปีหน้า
**เอดีบี ศก.เอเชียถดถอย หลังยอดส่งออกทรุด
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย (เอดีบี) ออกแถลงการณ์เตือนแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย พร้อมคาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซียจะชะลอลงอีกในปีหน้า ท่ามกลางความต้องการสินค้าส่งออกจากภูมิภาคเอเซียดังกล่าวชะลอลง
นายราจัต แน็ก ผู้อำนวยการเอดีบี กล่าวว่า ข้อมูลการค้า การจ้างงานและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงในระยะที่ผ่านมาส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกจะติดลบ และความต้องการสินค้าที่ผลิตในภูมิภาคเอเซียจะลดลง
"การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นภาวะถดถอยได้สูง ขณะเดียวกันการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเซียมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงอีกในปีหน้า"
ทั้งนี้ รัฐบาลในภูมิภาคเอเซียต่างปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากวิกฤตการเงินที่เริ่มเกิดขึ้นในสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมาได้ลุกลามไปทั่วโลก กำลังฉุดรั้งความเชื่อมั่นนักลงทุนและผู้บริโภค
"ระบบการเงินและเศรษฐกิจภูมิภาคเอเซียมีแนวโน้มอยู่ภายใต้แรงกดดันเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกของภูมิภาคเอเซียยังต้องเผชิญกับการชะลอตัวรุนแรง เนื่องจากความต้องการทั่วโลกชะลอลง"