ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.แอสเซท พลัส ตั้งเป้าเพิ่มเอยูเอ็มทั้งปี 3 หมื่นล้าน เน้นขยายฐานลูกค้าบุคคลรายใหญ่-สถาบัน ด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีนวัตกรรมการลงทุน เน้นสร้างผลตอบแทน พร้อมจำกัดระดับความเสี่ยง กางแผนงานครึ่งปีหลัง ส่งกองทุน ETF ลุย น้ำมัน ทองคำ และดัชนี S&P500 ดักรอเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นชัดเจน ภายใน 3 ปีข้างหน้า
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2552 สิ้นสุด ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2552 ว่า บริษัทมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ทั้งสิ้น 23,142.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 3,598.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.55% โดยเป็นการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวม17.90% จาก 17,362 ล้านบาท ในปี 2551 เป็น 20,469.33ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 2,182 ล้านบาท เป็น 2,672.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.50% ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิขึ้นอีก 10,000 ล้านบาท หรือมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอยู่ที่ 30,000 ล้านบาทภายในปีนี้
สำหรับการเติบโตดังกล่าว จะมาจากทั้งกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยมีแผนในการขยายฐานนักลงทุนในธุรกิจเดิม ซึ่งเป็นนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ และนักลงทุนกลุ่มสถาบันต่างๆ ทั้งกลุ่มธุรกิจการเงิน สถาบันการศึกษาและมูลนิธิต่างๆ ไปสู่กลุ่มการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันหรือองค์กรภาครัฐมากขึ้น และบริษัทจะดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้คาดหวังว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิจะเติบโตกว่าตลาด แต่คงจะเติบโตในระดับเดียวกันกับอุตสาหกรรมกองทุนรวม ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์ของอุตสาหกรรมดังกล่าว สิ้นสุด เดือนพฤษภาคม 2552 ติดลบไป 8% ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของบริษัท สิ้นสุด 16 มิถุนายน 2552 ปรับเพิ่มขึ้นไป 22%
ทั้งนี้ การที่บริษัทไม่ได้มีโครงสร้างที่อยู่ภายใต้สถาบันการเงินใด ทำให้มีอิสระในการดำเนินธุรกิจที่เอื้อให้การใช้ข้อมูลจากผู้มีความรู้และความชำนาญในอุตสาหกรรมทั้งใน และต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง มีความคล่องตัวทั้งในด้านการบริหารงาน และการบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไว รวมถึงการสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนของบริษัท ซึ่งมีเอกลักษณ์ในด้านการปรับใช้นวัตกรรมและเครื่องมือการลงทุนต่างๆ มาช่วยสร้างผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยง ซึ่งได้รับการยอมรับจากกลุ่มลูกค้า และเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของผู้ลงทุนรายใหญ่และกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน
ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการปรับเพิ่มผู้จัดการกองทุน และพัฒนาระบบการลงทุนให้มีความเข้มแข็งขึ้น โดยในส่วนของผู้ลงทุนทั่วไป บริษัทมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมและสามารถรองรับความต้องการของผู้ลงทุนตามความต้องการของตลาดแล้ว ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน ในประเทศและต่างประเทศโดยจะเน้นในด้านการให้คำแนะนำในการกระจายการลงทุนและการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม
นางลดาวรรณ กล่าวว่า แผนการออกกองทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภายหลังจากผลกระทบด้านวิกฤตการณ์สถาบันการเงินและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีผลต่อธุรกิจการจัดการกองทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเกิดจากนักลงทุนชะลอการลงทุน เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนก็ตาม แต่ด้วยบริษัทดำเนินนโยบายการลงทุนแบบ Conservative ทำให้ในด้านผลิตภัณฑ์การลงทุนของบริษัทในไตรมาสแรกของปีเน้นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศประเภทความเสี่ยงต่ำ โดยมีรอบการลงทุนแบบระยะเวลา 3 เดือน – 1 ปี ซึ่งเป็นกองทุนพื้นฐานในการออมของผู้ลงทุน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสัญญานการปรับตัวที่ดีขึ้นของตัวเลขการลงทุนต่างๆ ในไตรมาส 2 บริษัทเริ่มที่จะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาเสนอต่อผู้ลงทุนอีกครั้ง โดยจากการคาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับมีหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งที่มีราคาถูกซึ่งยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างดีในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งทำให้บริษัทนำเสนอกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ทเอควิตี้ ซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุน ประเภท Target return เน้นกลยุทธ์การลงทุนและการใช้ตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยง และจ่ายคืนผลตอบแทนอัตโนมัติให้กับผู้ลงทุนเมื่อกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินลงทุนเริ่มแรกทุก 8%
โดยที่ผ่านมา กองทุนดังกล่าวสามารถจ่ายคืนผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว 2 ครั้ง หรือคิดเป็น 20% ของเงินลงทุนภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ขณะที่กองทุนตราสารทุนในประเทศ บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเสนอกองทุนตราสารทุนที่ใช้กลยุทธ์การบริหารพอร์ตแบบ Absolute Return เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนสุทธิเป็นบวก หรือผลตอบแทนเป้าหมาย (Target Return) เพื่อจูงใจลูกค้าให้กระจายการลงทุนไปในตราสารประเภทความเสี่ยงสูงขึ้น รวมถึงการจูงใจลูกค้ารายใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในตราสารประเภทนี้
ส่วนแผนธุรกิจในครึ่งปีหลังช่วงปลายไตรมาส 2 บริษัทจะเสนอกองทุนต่างประเทศประเภท Feeder Fund 3 กองทุน โดยลงทุนในกองทุนหลัก (Master Fund) ประเภท ETF (Exchange Traded Fund) ซึ่งเป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และมีการซื้อขายเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนในการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ได้แก่ น้ำมันดิบ ทองคำแท่ง และดัชนี S&P500 เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและสร้างโอกาสผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ทั้งนี้ ในด้านการคัดเลือกกองทุน ETF บริษัทได้ศึกษาถึงสภาวะตลาด แนวโน้มการลงทุน ตลอดจนลักษณะและข้อดีของกองทุนหลักร่วมกับที่ปรึกษาการลงทุนในต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละตลาด โดย ETF ที่ผ่านการคัดเลือก เป็นกองทุนที่มีประเภทสินทรัพย์แตกต่างกัน มีการบริหารกองทุนอย่างโปร่งใส สภาพคล่องในการซื้อขายสูงโดยราคาที่ซื้อขายสามารถสะท้อนภาวะตลาดที่แท้จริง และมีอัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงจากกระจายการลงทุนในสัดส่วนและน้ำหนักในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อ้างอิง
จ่อคิวกองทุนลุยคอมมอดิตี-หุ้นสหรัฐ
นายวิน อุดมรัชต์วนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า บริษัทมองว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่ผ่านมาน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ภาวะเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการคาดการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทได้ออกกองทุนที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต ได้แก่กองทุนน้ำมันดิบ ทองคำแท่ง และดัชนี S&P500 โดยกองทุนทั้งหมดเหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะกลางถึงยาว ซึ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวกลับมาอย่างชัดเจน เชื่อว่าน่าจะสร้างผลตอบแทนเพิ่มให้กับนักลงทุนได้ภายใน 3 ปี
สำหรับกองทุนต่างประเทศ (FIF) ที่จะเสนอต่อผู้ลงทุน เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนใน ETF ของน้ำมันดิบ ทองคำ และดัชนี S&P500 ดังนี้กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์จะเน้นลงทุนในกองทุน PowerShares DB Oil Fund กองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพื่อหาผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของ Deutsche Bank Liquid Commodity Index ด้วยกลยุทธ์สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด (Optimum Yield) บริหารจัดการโดย DB Commodity Services LLCซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก โดยจะเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันนี้ - 25 มิถุนายน 2552 ขณะที่กองทุนเปิดแอสเซทพลัสโกลด์เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust ที่เน้นลงทุนในทองคำแท่งบริสุทธิ์ ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่จดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งมีเวลาใกล้เคียงกับประเทศไทย จะเปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2552
“ทั้ง 2 กองทุนมีการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (Fully Hedged) เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและทองคำในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ เพราะเมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของราคาน้ำมันโลก และราคาทองคำในรูปดอลลาร์และเงินบาทในระยะยาวจะเห็นว่าผลตอบแทนจากราคาน้ำมัน และราคาทองคำในรูปของค่าเงินดอลลาร์ หรือการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (FX Hedging) ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการไม่ทำ Hedging” นายวิน กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 ที่เน้นลงทุนในกองทุน SPDR S&P500 ETF Fund ซึ่งลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของดัชนี S&P500 ที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริหารจัดการโดย State Street Bank and Trust Company บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำที่โดดเด่นด้านการบริหาร Index Fundโดยจะมีการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวนในภาวการณ์ลงทุนปกติ และใช้กลยุทธ์ในการปรับสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป (Dynamic hedging) ในภาวะอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนสูง โดยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. คาดว่าจะเปิดเสนอขายครั้งแรกประมาณเดือนกรกฎาคม 2552
“แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีปัจจัยบวกในด้านภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่น่าจะปรับตัวดีขึ้นและสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นที่จะปรับสูงขึ้นตาม รวมถึงสภาพคล่องทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงจากการที่ธนาคารกลางต่างๆ ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา ก็จะเอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์ (Flush Liquidity Condition)” นายวิน กล่าว