บลจ.นครหลวงไทยยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นบวก โดยปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกองทุนหุ้นเป็น 90% เชื่อความเสี่ยงขาลงมีไม่มากนัก แนะนักลงทุนเพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไปในพอร์ตลงทุน พร้อมแย้มสนใจออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ระดมทุนไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในตลาดที่มีอยู่แล้ว และเร่งทำการตลาดกองทุน “โกลบอล เฮลธ์แคร์” หลังจากผลการดำเนินงานค่อนข้างดี และยังได้รับอานิสงส์จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ด้วย
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยจึงได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นในส่วนของกองทุนหุ้นขึ้นเป็น 90% จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 60% เท่านั้น และมองว่าในช่วงสิ้นปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสจะขึ้นไปแตะระดับ 600-700 จุด ขณะที่ความเสี่ยงขาลงมีไม่มากนักและมองกรอบแนวรับของตลาดหุ้นไทยไว้ที่ระดับ 500 จุด โดยจะเห็นได้จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจที่มีต่อตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในปัจจุบันตลาดหุ้นไทยก็ไม่ถือว่าแพง เพราะว่าตลาดหุ้นไทยเคยปรับขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดที่ 1,700 จุด โดยในรอบนี้ดัชนีก็ปรับลดลงมาจากระดับ 900 จุด และตอนนี้ดัชนีแค่ 560 จุดเท่านั้น แค่ดัชนีกลับไปที่ระดับเดิมก่อนตกก็มีอัพไซด์อยู่พอสมควร และหากดูตัวเลขสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) หรือราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) รวมทั้งอัตราเงินปันผลของตลาดที่ระดับ 4% กว่าถือว่าไม่แพง
อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตการลงทุนที่ดีที่สุดนักลงทุนควรจะเพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เข้าไปในพอร์ตการลงทุนที่มีหุ้นและตราสารหนี้จึงจะเป็นพอร์ตการลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งบริษัทเตรียมจะเสนอขายกองทุนเปิดนครหลวงไทย Efficient Long-Short Commodity ที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Citi COMET Index USD Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Long – Short เพื่อหากำไรจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจากข้อมูลในอดีต ผลตอบแทนจากการลงทุนในลักษณะ Long – Short จะผันผวนต่ำกว่ากองทุนที่มีนโยบายแบบ Long Only ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน”
กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขึ้น ซึ่งการลงทุนในส่วนของหุ้นนี้ได้รวมเอาส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไว้ด้วย เพราะหากมองว่าเศรษฐกิจจะฟื้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะกลับขึ้นมาซึ่งจะติดตามมาด้วยเงินเฟ้อ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้อาจจะลดน้ำหนักลงรวมทั้งควรลดอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุนให้สั้นขึ้นเพราะหากเงินเฟ้อกลับมาจะตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วง 1 ปีข้างหน้า
“สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในออสเตรเลียของบริษัทที่จะครบกำหนดอายุกองทุนในช่วงกลางปี2552 นี้ บริษัทจะเสนอทางเลือกให้กับนักลงทุนโดยใครที่ไม่อยากลงทุนต่อต้องการเงินกลับไปก็ได้ หรือจะลงทุนต่อไปก็ได้ เพราะบริษัทจะออกกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในออสเตรเลียมารองรับให้ แต่จะตั้งเป็นเป้าหมายเลยว่าถ้าได้ผลตอบแทนเท่ากับเงินต้นก็จะปิดกองทุนนำมาคืนผู้ถือหน่วยลงทุนทันที เป็นการเปิดทางเลือกไว้ให้กับนักลงทุนที่สนใจ”
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า บริษัทยังสนใจที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ขึ้นมา เพื่อระดมทุนไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้นักลงทุนรู้จักกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งการจะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากเพราะเราไม่จำเป็นต้องไปไล่ซื้อในตลาดรองเพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องของสภาพคล่องของหน่วยลงทุน แต่เราสามารถซื้อขายกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้โดยตรงเป็นการซื้อนอกกระดานตรงนี้สามารถทำได้ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่เช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เพิ่มอีกหนึ่งกองทุนรวมถึงการทำการตลาดกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) ของบริษัทที่มีอยู่เดิมด้วย เพราะที่ผ่านมาผลการดำเนินงานค่อนข้างดียิ่งเกิดกรณีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ยิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจสุขภาพเป็นอย่างมาก
ล่าสุด บริษัทฯ เปิดเสนอขายกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ กองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M5/09 (SCI International Fixed Income Fund GI 6M5/09 : SCI INGI6M5/09) ซึ่งกองทุนจะลงทุนใน Korea Monetary Stabilization Bond (MSB) เป็นพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ ในสัดส่วน 100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ใน 2 อันดับแรก AA จากสถาบัน Fitch Rating
สำหรับกองทุนเปิด SCI INGI6M5/09 มีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน และได้รับเงินต้นพร้อมผลตอบแทนแบบอัตโนมัติ (Auto redemption) ครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ ความเสี่ยงกองทุนต่ำเนื่องจากลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ นักลงทุนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงแต่อย่างใด และลูกค้าบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียงภาษีจากกำไรที่ได้รับ โดยได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 2.40% ต่อปี กองทุนมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ราคา 10 บาทต่อหน่วย มูลค่าขั้นต่ำของการลงทุนเพียง 2,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 3 – 9 มิถุนายน 2552 นี้
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยจึงได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นในส่วนของกองทุนหุ้นขึ้นเป็น 90% จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 60% เท่านั้น และมองว่าในช่วงสิ้นปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสจะขึ้นไปแตะระดับ 600-700 จุด ขณะที่ความเสี่ยงขาลงมีไม่มากนักและมองกรอบแนวรับของตลาดหุ้นไทยไว้ที่ระดับ 500 จุด โดยจะเห็นได้จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจที่มีต่อตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในปัจจุบันตลาดหุ้นไทยก็ไม่ถือว่าแพง เพราะว่าตลาดหุ้นไทยเคยปรับขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดที่ 1,700 จุด โดยในรอบนี้ดัชนีก็ปรับลดลงมาจากระดับ 900 จุด และตอนนี้ดัชนีแค่ 560 จุดเท่านั้น แค่ดัชนีกลับไปที่ระดับเดิมก่อนตกก็มีอัพไซด์อยู่พอสมควร และหากดูตัวเลขสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) หรือราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) รวมทั้งอัตราเงินปันผลของตลาดที่ระดับ 4% กว่าถือว่าไม่แพง
อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตการลงทุนที่ดีที่สุดนักลงทุนควรจะเพิ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เข้าไปในพอร์ตการลงทุนที่มีหุ้นและตราสารหนี้จึงจะเป็นพอร์ตการลงทุนที่ดีที่สุด ซึ่งบริษัทเตรียมจะเสนอขายกองทุนเปิดนครหลวงไทย Efficient Long-Short Commodity ที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Citi COMET Index USD Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Long – Short เพื่อหากำไรจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยจากข้อมูลในอดีต ผลตอบแทนจากการลงทุนในลักษณะ Long – Short จะผันผวนต่ำกว่ากองทุนที่มีนโยบายแบบ Long Only ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน”
กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นขึ้น ซึ่งการลงทุนในส่วนของหุ้นนี้ได้รวมเอาส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์เข้าไว้ด้วย เพราะหากมองว่าเศรษฐกิจจะฟื้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะกลับขึ้นมาซึ่งจะติดตามมาด้วยเงินเฟ้อ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้อาจจะลดน้ำหนักลงรวมทั้งควรลดอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุนให้สั้นขึ้นเพราะหากเงินเฟ้อกลับมาจะตามมาด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วง 1 ปีข้างหน้า
“สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในออสเตรเลียของบริษัทที่จะครบกำหนดอายุกองทุนในช่วงกลางปี2552 นี้ บริษัทจะเสนอทางเลือกให้กับนักลงทุนโดยใครที่ไม่อยากลงทุนต่อต้องการเงินกลับไปก็ได้ หรือจะลงทุนต่อไปก็ได้ เพราะบริษัทจะออกกองทุนตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในออสเตรเลียมารองรับให้ แต่จะตั้งเป็นเป้าหมายเลยว่าถ้าได้ผลตอบแทนเท่ากับเงินต้นก็จะปิดกองทุนนำมาคืนผู้ถือหน่วยลงทุนทันที เป็นการเปิดทางเลือกไว้ให้กับนักลงทุนที่สนใจ”
นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า บริษัทยังสนใจที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ขึ้นมา เพื่อระดมทุนไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้นักลงทุนรู้จักกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งการจะเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องยากเพราะเราไม่จำเป็นต้องไปไล่ซื้อในตลาดรองเพราะอาจจะมีปัญหาเรื่องของสภาพคล่องของหน่วยลงทุน แต่เราสามารถซื้อขายกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้โดยตรงเป็นการซื้อนอกกระดานตรงนี้สามารถทำได้ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่เช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เพิ่มอีกหนึ่งกองทุนรวมถึงการทำการตลาดกองทุนเปิดเอสซีไอ โกลบอล เฮลธ์แคร์ (SCI GHC) ของบริษัทที่มีอยู่เดิมด้วย เพราะที่ผ่านมาผลการดำเนินงานค่อนข้างดียิ่งเกิดกรณีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ยิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจสุขภาพเป็นอย่างมาก
ล่าสุด บริษัทฯ เปิดเสนอขายกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ กองทุนเปิดเอสซีไอ ตราสารหนี้ต่างประเทศ จีไอ 6M5/09 (SCI International Fixed Income Fund GI 6M5/09 : SCI INGI6M5/09) ซึ่งกองทุนจะลงทุนใน Korea Monetary Stabilization Bond (MSB) เป็นพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ ในสัดส่วน 100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ใน 2 อันดับแรก AA จากสถาบัน Fitch Rating
สำหรับกองทุนเปิด SCI INGI6M5/09 มีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน และได้รับเงินต้นพร้อมผลตอบแทนแบบอัตโนมัติ (Auto redemption) ครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดอายุโครงการ ความเสี่ยงกองทุนต่ำเนื่องจากลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ นักลงทุนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงแต่อย่างใด และลูกค้าบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียงภาษีจากกำไรที่ได้รับ โดยได้รับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 2.40% ต่อปี กองทุนมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ราคา 10 บาทต่อหน่วย มูลค่าขั้นต่ำของการลงทุนเพียง 2,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 3 – 9 มิถุนายน 2552 นี้