xs
xsm
sm
md
lg

‘ซุปเปอร์สไตรค์’ได้ฤกษ์ลุยซื้อหุ้นไทย ยูโอบีเร่งหาบอนด์ต่างประเทศเสิร์ฟลูกค้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทุน "ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์" ได้ฤกษ์เข้าลุยหุ้นไทยแล้ว หลังปิดไอพีโอในช่วงปลายเดือนเมษายน โดยแบ่งเม็ดเงินประมาณ 50% เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มบลูชิพ 10 ตัว คาด 2 – 3 สัปดาห์ ทราบผลการลงทุน “วนา” เผยเตรียมมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศไว้รองรับลูกค้า คาดเปิดขายไอพีโอได้เดือนมิถุนายนนี้
นายวนา พูลผล
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ (UOB Super Strike Fund : UOBSS) ได้เริ่มเข้าไปลงทุนในหุ้นไทยแล้ว หลังจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้ใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 50% เข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (บลูชิพ) ประมาณ 10 ตัว โดยได้ใช้ความระมัดระวังในการเข้าไปจับจังหวะในการลงทุนพอสมควร และคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการ 2 – 3 สัปดาห์จึงจะทราบผลของการเข้าไปลงทุนอย่างชัดเจน

ส่วนการที่บริษัทเข้าไปร่วมงานมหกรรมการเงินครั้งที่ 9 หรือมันนี่ เอ็กซ์โป 2009 ในระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พบว่าสามารถขายกองทุนได้บ้าง แต่ไม่ค่อยมากนัก แต่ก็ถือว่ามีเม็ดเงินคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายภายในงานดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการมองหาตราสารหนี้ต่างประเทศที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีมานำเสนอนักลงทุนต่อไป ซึ่งตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนจะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ระดับ AAA ขึ้นไป เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าไปลงทุน แต่ยังต้องแยกดูเป็นรายตัวด้วย หากมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่านี้ แต่มีความน่าสนใจก็จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน

นายวนา กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนงานออกกองทุนใหม่ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นเสนอขายกองทุนทั่วๆ ไปที่มีอยู่แล้วของบริษัทไปก่อน แต่คาดว่าจะสามารถเปิดขายกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศกองทุนใหม่ได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2552 แต่ต้องรอดูจังหวะโอกาส และผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศในตลาดด้วยว่าสามารถให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจหรือไม่

สำหรับกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และมีอายุโครงการ 2 ปี ซึ่งอาจเลิกโครงการก่อนกำหนด หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน และจะเน้นลงทุนในตราสารทุนที่มีแนวโน้มและปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก โดยสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อให้เหมาะสมกับภาวะตลาดในขณะนั้นได้ หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด กองทุนจะเลิกโครงการก่อนกำหนด ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง

ขณะที่เงื่อนไขการยกเลิกโครงการก่อนกำหนด มีดังนี้ ภายใน 1 ปีแรก (เป้าหมายผลตอบแทน 10%) • มูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11.4 บาทต่อหน่วยเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกัน โดยวันแรกที่มูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11.4 บาทต่อหน่วย จะต้องไม่เกินวันที่ 27 เมษายน 2553 • ในวันทำการถัดไปมูลค่าหน่วยลงทุนที่จะรับซื้อคืนอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11 บาทต่อหน่วย และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเงินฝากทั้งหมด • ในวันดังกล่าวจะต้องไม่เกินวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 มิฉะนั้นจะเข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการก่อนกำหนดในปีที่ 2

ส่วนในปีที่ 2 (เป้าหมายผลตอบแทน 20%) – ในกรณีที่ไม่เลิกโครงการก่อนกำหนดในปีที่ 1 • หลังจากวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 มูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 12.2 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกัน ในวันทำการถัดไปมูลค่าหน่วยลงทุนที่จะรับซื้อคืนอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 12 บาทต่อหน่วย และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเงินฝากทั้งหมด
กำลังโหลดความคิดเห็น