สำนักงาน ก.ล.ต. ไฟเขียวถือหน่วยกองทุนอสังหาฯ เกิน 1 ใน 3 แต่ยังจำกัดไม่เกิน 50% พร้อมกำหนดทางออก ต้องขายคืนภายใน 4 ปี ย้ำนำเสียงมานับรวมเป็นคะแนนเสียงในการขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ได้ แต่ยังให้ปันผลตามปกติ
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. และคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบการออกและปรับปรุงหลักเกณฑ์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอุปสรรคต่อภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย หลักเกณฑ์ด้านการจัดการกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของหลักเกณฑ์ด้านการจัดการกองทุน คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยเห็นชอบให้ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถลงทุนได้ โดยศูนย์กระจายสินค้านั้น จะจำหน่ายสินค้าประเภทใดก็ได้และเป็นการให้บริการแก่ประชาชนที่ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาความยากลำบากในการหาผู้เช่ารายใหม่กรณีที่ผู้เช่ารายเดิมสิ้นสุดสัญญาเช่า
ขณะเดียวกัน ยังได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 1 ใน 3 เป็นการชั่วคราว เพื่อบรรเทาผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจให้แก่กองทุนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมีข้อกำหนดที่สำคัญคือ จำนวนหน่วยลงทุนที่ซื้อและถือเดิมรวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้ทั้งหมด และต้องซื้อหน่วยลงทุนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปีนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ และจะต้องถือไว้อย่างน้อย 6 เดือนนับจากวันที่ซื้อครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องขายหน่วยลงทุนดังกล่าวออกภายใน 4 ปีนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ โดยหน่วยลงทุนในส่วนที่เกินกว่า 1 ใน 3 จะไม่นำมานับรวมเป็นคะแนนเสียงในการขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน แต่ยังคงได้รับเงินปันผลในช่วงเวลาตาม
นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบการออกหลักเกณฑ์ให้กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิต (credit derivatives) โดยการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ของสินทรัพย์ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง ไปยังผู้ขายประกันความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้
สำหรับหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชนนั้น คณะกรรมการกำกับตลาดทุนเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชี ของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชนให้ยืดหยุ่น ไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ภาคธุรกิจมากเกินไป โดยจะยกเว้นไม่ต้องรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ (แบบ 59-2) ในกรณีที่การซื้อขายหลักทรัพย์นั้นมีลักษณะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการรู้ข้อมูลภายในของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้ เช่น การได้หลักทรัพย์จากโครงการที่บริษัทเสนอขายหลักทรัพย์ให้กรรมการหรือพนักงาน (ESOP) การได้หุ้นตามโครงการสะสมหุ้นสำหรับกรรมการหรือพนักงาน (Employee Joint Investment Program: EJIP) การได้หลักทรัพย์แปลงสภาพจากการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น และการนำหลักทรัพย์ไปวางเป็นหลักประกันในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดการเริ่มต้นและการสิ้นสุดหน้าที่การรายงานให้ชัดเจนขึ้น โดยให้บุคคลเริ่มมีหน้าที่ต้องรายงานเมื่อบริษัทนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสิ้นสุดหน้าที่เมื่อบริษัทไม่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. และคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่า คณะกรรมการมีมติเห็นชอบการออกและปรับปรุงหลักเกณฑ์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอุปสรรคต่อภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย หลักเกณฑ์ด้านการจัดการกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของหลักเกณฑ์ด้านการจัดการกองทุน คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยเห็นชอบให้ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สามารถลงทุนได้ โดยศูนย์กระจายสินค้านั้น จะจำหน่ายสินค้าประเภทใดก็ได้และเป็นการให้บริการแก่ประชาชนที่ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประสบปัญหาความยากลำบากในการหาผู้เช่ารายใหม่กรณีที่ผู้เช่ารายเดิมสิ้นสุดสัญญาเช่า
ขณะเดียวกัน ยังได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การถือหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 1 ใน 3 เป็นการชั่วคราว เพื่อบรรเทาผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจให้แก่กองทุนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมีข้อกำหนดที่สำคัญคือ จำนวนหน่วยลงทุนที่ซื้อและถือเดิมรวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้ทั้งหมด และต้องซื้อหน่วยลงทุนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปีนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ และจะต้องถือไว้อย่างน้อย 6 เดือนนับจากวันที่ซื้อครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องขายหน่วยลงทุนดังกล่าวออกภายใน 4 ปีนับจากวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ โดยหน่วยลงทุนในส่วนที่เกินกว่า 1 ใน 3 จะไม่นำมานับรวมเป็นคะแนนเสียงในการขอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน แต่ยังคงได้รับเงินปันผลในช่วงเวลาตาม
นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. เห็นชอบการออกหลักเกณฑ์ให้กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิต (credit derivatives) โดยการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ของสินทรัพย์ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง ไปยังผู้ขายประกันความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระหนี้
สำหรับหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชีของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชนนั้น คณะกรรมการกำกับตลาดทุนเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การรายงานการถือหลักทรัพย์ของกรรมการ ผู้บริหาร และผู้สอบบัญชี ของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์เสนอขายต่อประชาชนให้ยืดหยุ่น ไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ภาคธุรกิจมากเกินไป โดยจะยกเว้นไม่ต้องรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ (แบบ 59-2) ในกรณีที่การซื้อขายหลักทรัพย์นั้นมีลักษณะที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการรู้ข้อมูลภายในของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้ เช่น การได้หลักทรัพย์จากโครงการที่บริษัทเสนอขายหลักทรัพย์ให้กรรมการหรือพนักงาน (ESOP) การได้หุ้นตามโครงการสะสมหุ้นสำหรับกรรมการหรือพนักงาน (Employee Joint Investment Program: EJIP) การได้หลักทรัพย์แปลงสภาพจากการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น และการนำหลักทรัพย์ไปวางเป็นหลักประกันในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดการเริ่มต้นและการสิ้นสุดหน้าที่การรายงานให้ชัดเจนขึ้น โดยให้บุคคลเริ่มมีหน้าที่ต้องรายงานเมื่อบริษัทนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสิ้นสุดหน้าที่เมื่อบริษัทไม่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ