บลจ.แอสเซท พลัส ชี้ จีดีพีแดนกิมจิไตรมาสแรกดีเกินคาด ระบุส่งผลดีต่อการลงทุน พร้อมเชื่อไม่กระทบต่อผลตอบแทนกองบอนด์เกาหลี เหตุการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มที่แล้ว ล่าสุดโรลโอเวอร์กองทุนรอบใหม่ เอาใจลูกค้าต้องการผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศ ด้าน "บัวหลวง" ส่งกองทุนใหม่ลุยตลาด 3 กองรวด ชูทางเลือกลงทุนสั้น 6 เดือน 1 ปี และ 3 ปี
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า การประกาศตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเกาหลีใต้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2552 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งออกมาอยู่ที่ระดับ 0.1% นั้น ถือว่าดีกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ที่ระดับ -0.2% โดยหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา (Yoy) อยู่ที่ระดับ -4.3% พบว่าติดลบน้อยกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ ที่ระดับ -4.6%
โดยตัวเลข GDP ที่ประกาศออกมานั้นดีกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้นั้น มองว่าน่าจะส่งผลดีต่อแนวโน้มการลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ในช่วงต่อไป จากการที่นักลงทุนน่าจะมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารภาครัฐเกาหลีใต้ สำหรับกองทุนเกาหลีใต้ที่นักลงทุนไทยระดมทุนออกไปนั้น น่าจะไม่มีผลกระทบกับผลตอบแทนแต่อย่างใด เนื่องจากกองทุนภายใต้การจัดการของบริษัทมีการถือครองตราสารจนครบอายุ และมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มอัตรา (Fully Hedged) แล้ว
"ผู้ลงทุนที่มีความเข้าใจในขั้นตอนการลงทุนของกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อาทิ กองทุนที่ลงทุนในตราสารของประเทศเกาหลีใต้ ย่อมเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากในประเทศ และการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ เพราะหลังจากทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบเต็มจำนวนแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ อายุ 6 เดือน – 1 ปี อยู่ระหว่าง 2.50-3.20% ต่อปี ส่วนตราสารภาครัฐ เช่น KEXIM หรือ KDB ในอายุเท่ากัน อยู่ระหว่าง 3.30-4.80% ต่อปี ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่น่าจูงใจสำหรับนักลงทุน ในระดับความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นตราสารของรัฐบาลหรือผู้ออกตราสารถือหุ้นใหญ่โดยรัฐบาล"นายวินกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ เช่น พันธบัตรรัฐบาลไทย แม้ปัจจุบันผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3 เดือน – 1 ปี จะอยู่ในระดับ 1.00% แต่ก็ถือเป็นช่องทางการลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนเอง ก็ควรจะเน้นลงทุนในตราสารที่ผู้ออกได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง มีฐานะการเงินที่มั่นคง และมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า ในวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ บริษัทจะมีกองทุนที่ครบรอบระยะเวลาการลงทุน และได้ทำการเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 3 (ASP-SIF3) โดยลงทุนในตราสารภาครัฐเกาหลีใต้ ได้แก่ Export-Import Bank of Korea (KEXIM) ตั๋วแลกเงินธนาคารทิสโก้ และตั๋วเงินคลัง อายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งคาดว่าสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทน 2.75%ต่อปี ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย และมีความมั่นคง ในวันที่ 18 พ.ค. นี้ บริษัทจะโรลโอเวอร์กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 6 (ASP-SIF6) รอบการลงทุนนี้ประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทน 0.75% ต่อปี จากการลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 100%
ด้านรายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังเปิดขายกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ ซึ่งออกโดยสถาบันการเงินของประเทศเกาหลีใต้ ด้วยกัน 3 กองทุน ประกอบด้วย 1. กองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 4/09 (BP4/09) 2. บัวหลวงธนสารพลัส 5/09 (BP5/09) และ 3. บัวหลวงธนสารพลัส 6/09 (BP6/09) โดยเริ่มเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ - 13 พฤษภาคม 2552
ทั้งนี้ 3 กองทุนดังกล่าว กองทุนเหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคง และความเสี่ยงต่ำ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 4/09 มีอายุประมาณ 3 ปี ขนาดโครงการ 3,500 ล้านบาท ส่วนกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 5/09 มีอายุประมาณ 6 เดือน ขนาดโครงการ 3,000 ล้านบาท และกองทุนรวมบัวหลวงธนสารพลัส 6/09 มีอายุประมาณ 1 ปี ขนาดโครงการ 3,000 ล้านบาท
สำหรับกองทุนทั้ง 3 จะลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (Foreign Investment Fund) โดยลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ หรือตราสารที่ออก โดยรัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินต่างประเทศ ซึ่งผู้ออกหรือตราสารได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ตั้งแต่ A- ขึ้นไป ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้ รวมถึงการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นทั้งในและต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน บลจ. ธนชาต ได้เปิดขายกองทุนรวมตราสารหนี้พลัส 6 (TFixPlus6) อายุโครงการประมาณ 4 ปี มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เสนอขายเพียงครั้งเดียว(IPO)ระหว่างวันที่11 - 18 พฤษภาคม 2552 ทั้งนี้ กองทุน TFixPlus6 มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งซึ่งตราสารแห่งหนี้ภาคเอกชนและหรือภาครัฐที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นสูง และหรือเงินฝาก หรือตราสารที่เทียบเท่าเงินสด หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนดหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
โดยในช่วงที่ผ่านมากองทุนรวมตราสารหนี้ยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงมากจนอัตราเงินฝากออมทรัพย์ลดลงถึงระดับ 0.5% ในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้อายุประมาณ 1 - 2 ปี จำนวน 4 กองทุน ได้แก่กองทุนเปิดธนชาต ตราสารหนี้พลัส 1 (TFixPlus1) กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้พลัส 2 (TFixPlus2) กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้พลัส 3 (TFixPlus3) และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้พลัส 4 (TFixPlus4) โดยสามารถระดมเงินได้เต็มมูลค่าโครงการภายในวันแรกที่เสนอขายทั้ง 4 กอง และสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้บริษัทต่าง ๆ และสามารถลงทุนได้ระยะยาว 4-5 ปี บลจ.ธนชาต ได้เริ่มเสนอขายกองทุนตราสารหนี้อายุประมาณ 5 ปี จำนวน 1 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้พลัส 5 (TFixPlus5) ขนาดกองทุน 600 ล้านบาท มีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนประมาณ 538 ล้านบาท