คอลัมน์ ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
บ.เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ผมค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ ที่ไม่กี่วันมานี้ สัญญาณทางเทคนิคของตลาดหุ้นบ้านเรา มีทิศทางปรับตัวเป็นขาขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัดมากขึ้น โดยมีสัญญาณยืนยันจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ฟอร์มตัวยืนอยู่เหนือ 487 จุด ได้สำเร็จ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นแบบเท่าทวีในแนวโน้มระยะกลาง ค่อนไปทางด้านระยะสั้น (รูปแบบการวัดคลื่นตามทฤษฏี Elliott Wave ให้ข้อมูลถึงช่วงการปรับตัวเป็นขาขึ้นในระยะกลาง ในกรอบ 2 สัปดาห์ ถึง 1.5 เดือน) อันเนื่องมาจาก รูปแบบการปรับตัวขึ้นแบบถ่วงน้ำหนักในเชิงเทคนิค มีความไม่สัมพันธ์กันในระดับมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากการแกว่งตัวยืนเหนือ 487 จุด นี้ ยังไม่ได้รับการยืนยันจากหลักทรัพย์บางตัว ที่มีนัยสำคัญ ทำให้การปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ อาจเป็นการปรับตัวเป็นขาขึ้นระยะสั้น เพื่อเตรียมตัวเป็นขาลงใหญ่อีกครั้ง
โดยทั่วไปหลังจากสัญญาณของหุ้นในตลาดมีการยืนยัน ว่าเป็นสัญญาณบวกอย่างแท้จริง นักลงทุนในตลาดหุ้นมักเตรียมเงินจำนวนหนึ่งนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยมีจุดขาย หรือสัญญาณขายที่แตกต่างกัน ซึ่งคนส่วนหนึ่งมักที่จะขายเร็วเกินไป (ทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เลยทำให้เกิดความโลภ และเข้าไปไล่หุ้นในราคาที่สูง จนเกิดภาวะขาดทุน เนื่องจากเข้าซื้อเพิ่มในจังหวะที่กำลังจะเป็นขาลงพอดี) แต่คนบางส่วนก็มีความโลภมากเกินไป จนทำให้ขายหุ้น ช้าเกินไป (ทำให้ขาดทุนกำไร อันเนื่องมาจากราคาได้ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดมากแล้ว ส่งผลในเชิงจิตวิทยาให้เกิดการรอคอย และถือหุ้นไว้ต่อ เพราะคิดเข้าข้างตนเองว่า หุ้นกำลังจะขึ้นต่อ ในขณะที่ราคาหุ้นที่ถือไว้ปรับตัวลงทุกวัน ส่งผลให้เกิดภาวะขาดทุนได้เช่นเดียวกัน)
ในสถาวะตลาดที่มีการยืนยันว่า เป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากเงินที่จะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า สูงกว่าตลาดแล้ว ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้อง ควรที่จะแบ่งเงินลงทุนออกเป็นอัตราส่วนดังนี้
1. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า สูงกว่าตลาด ในอัตราส่วน 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยใช้กลยุทธ์ถือยาว (โดยอ้างอิงจากทฤษฏี Elliott Wave ตามกรอบการลงทุนที่อ่านได้จากกราฟในช่วงเวลานั้นๆ)
2. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า เท่ากับตลาด ในอัตราส่วน 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยใช้กลยุทธ์ถือยาว (โดยอ้างอิงจากทฤษฏี Elliott Wave ตามกรอบการลงทุนที่อ่านได้จากกราฟในช่วงเวลานั้นๆ)
3. ลงทุนใน SET50 Index Futures ในอัตราส่วน 20% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพื่อช่วยเร่งอัตราผลตอบแทนแบบ 2 ทาง ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว ถ้ามีการปรับพอร์ตการลงทุนที่ถูกต้อง อัตราส่วน 20% ที่ลงทุนใน SET50 Index Futures จะต้องมีค่าเท่ากับ หรือมากกว่า อัตราผลตอบแทนจากหุ้นที่ได้ลงทุนเอาไว้ในข้อ 1-2 ที่กล่าวไว้ข้างต้น
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ดังกล่าว แต่ยังไม่มีพื้นฐานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิคมาก่อน สามารถใช้กราฟด้านล่าง เป็นแนวทางในการกำหนดเป้าหมายอย่างคร่าวๆ ได้ดังรูป
รูปที่ 1 เป้าหมายหรือแนวต้านของ SET50 Index Futures ที่ได้จากการวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม NextVIEW Advisor
สำหรับกลยุทธ์การเข้าถือจำนวนสัญญานั้น ถ้าเป็นนักลงทุนมือใหม่ แนะนำให้ถือแค่ 1 สัญญาก่อน โดยมีการตั้งจุด Stop loss ไว้ที่ ไม่เกิน 20% ของเป้าหมาย แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาบ้าง แนะนำให้เข้าถือตามจังหวะดังนี้
- เข้าถือ 1 สัญญา หลังจากที่ดัชนีทะลุ 345 จุด ไปแล้ว จากนั้นให้เข้าถือเพิ่ม ถ้าดัชนีทะลุ 365 จุด ขึ้นไปอีก 1 สัญญา (ให้พิจารณาตรวจสอบสัญญาณ Divergence ก่อนเข้าถือสัญญาเพิ่ม เพื่อใช้ในการยืนยัน)
- เข้าถือเพิ่มอีก 1 สัญญา ถ้าดัชนีทะลุ 383 จุด ได้สำเร็จ พร้อมทั้งเฝ้าระวังอย่างรัดกุม โดยถ้าเห็นสัญญาณต่อไปนี้ ให้ทยอยลดสัญญาที่ถือ เช่น Double Top, Bearish Divergence เป็นต้น)
คงจะเป็นแนวคิดสำหรับกรณีศึกษาของการลงทุนในช่วงนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.technicalday.com หรือถ้าต้องการเข้าอบรมในหลักสูตร “ทำกำไร ในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” ในวันเสาร์ที่ 30 และ อาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2552 นี้ สามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ คุณศิริพร หรือ คุณปรัชญา ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 627 3360 – 2 ครับ
บ.เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
ผมค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ ที่ไม่กี่วันมานี้ สัญญาณทางเทคนิคของตลาดหุ้นบ้านเรา มีทิศทางปรับตัวเป็นขาขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัดมากขึ้น โดยมีสัญญาณยืนยันจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ฟอร์มตัวยืนอยู่เหนือ 487 จุด ได้สำเร็จ และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นแบบเท่าทวีในแนวโน้มระยะกลาง ค่อนไปทางด้านระยะสั้น (รูปแบบการวัดคลื่นตามทฤษฏี Elliott Wave ให้ข้อมูลถึงช่วงการปรับตัวเป็นขาขึ้นในระยะกลาง ในกรอบ 2 สัปดาห์ ถึง 1.5 เดือน) อันเนื่องมาจาก รูปแบบการปรับตัวขึ้นแบบถ่วงน้ำหนักในเชิงเทคนิค มีความไม่สัมพันธ์กันในระดับมีนัยสำคัญ อันเนื่องมาจากการแกว่งตัวยืนเหนือ 487 จุด นี้ ยังไม่ได้รับการยืนยันจากหลักทรัพย์บางตัว ที่มีนัยสำคัญ ทำให้การปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ อาจเป็นการปรับตัวเป็นขาขึ้นระยะสั้น เพื่อเตรียมตัวเป็นขาลงใหญ่อีกครั้ง
โดยทั่วไปหลังจากสัญญาณของหุ้นในตลาดมีการยืนยัน ว่าเป็นสัญญาณบวกอย่างแท้จริง นักลงทุนในตลาดหุ้นมักเตรียมเงินจำนวนหนึ่งนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยมีจุดขาย หรือสัญญาณขายที่แตกต่างกัน ซึ่งคนส่วนหนึ่งมักที่จะขายเร็วเกินไป (ทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เลยทำให้เกิดความโลภ และเข้าไปไล่หุ้นในราคาที่สูง จนเกิดภาวะขาดทุน เนื่องจากเข้าซื้อเพิ่มในจังหวะที่กำลังจะเป็นขาลงพอดี) แต่คนบางส่วนก็มีความโลภมากเกินไป จนทำให้ขายหุ้น ช้าเกินไป (ทำให้ขาดทุนกำไร อันเนื่องมาจากราคาได้ปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดมากแล้ว ส่งผลในเชิงจิตวิทยาให้เกิดการรอคอย และถือหุ้นไว้ต่อ เพราะคิดเข้าข้างตนเองว่า หุ้นกำลังจะขึ้นต่อ ในขณะที่ราคาหุ้นที่ถือไว้ปรับตัวลงทุกวัน ส่งผลให้เกิดภาวะขาดทุนได้เช่นเดียวกัน)
ในสถาวะตลาดที่มีการยืนยันว่า เป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากเงินที่จะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า สูงกว่าตลาดแล้ว ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้อง ควรที่จะแบ่งเงินลงทุนออกเป็นอัตราส่วนดังนี้
1. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า สูงกว่าตลาด ในอัตราส่วน 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยใช้กลยุทธ์ถือยาว (โดยอ้างอิงจากทฤษฏี Elliott Wave ตามกรอบการลงทุนที่อ่านได้จากกราฟในช่วงเวลานั้นๆ)
2. ลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่า เบต้า เท่ากับตลาด ในอัตราส่วน 30% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยใช้กลยุทธ์ถือยาว (โดยอ้างอิงจากทฤษฏี Elliott Wave ตามกรอบการลงทุนที่อ่านได้จากกราฟในช่วงเวลานั้นๆ)
3. ลงทุนใน SET50 Index Futures ในอัตราส่วน 20% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพื่อช่วยเร่งอัตราผลตอบแทนแบบ 2 ทาง ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว ถ้ามีการปรับพอร์ตการลงทุนที่ถูกต้อง อัตราส่วน 20% ที่ลงทุนใน SET50 Index Futures จะต้องมีค่าเท่ากับ หรือมากกว่า อัตราผลตอบแทนจากหุ้นที่ได้ลงทุนเอาไว้ในข้อ 1-2 ที่กล่าวไว้ข้างต้น
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ดังกล่าว แต่ยังไม่มีพื้นฐานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิคมาก่อน สามารถใช้กราฟด้านล่าง เป็นแนวทางในการกำหนดเป้าหมายอย่างคร่าวๆ ได้ดังรูป
รูปที่ 1 เป้าหมายหรือแนวต้านของ SET50 Index Futures ที่ได้จากการวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม NextVIEW Advisor
สำหรับกลยุทธ์การเข้าถือจำนวนสัญญานั้น ถ้าเป็นนักลงทุนมือใหม่ แนะนำให้ถือแค่ 1 สัญญาก่อน โดยมีการตั้งจุด Stop loss ไว้ที่ ไม่เกิน 20% ของเป้าหมาย แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาบ้าง แนะนำให้เข้าถือตามจังหวะดังนี้
- เข้าถือ 1 สัญญา หลังจากที่ดัชนีทะลุ 345 จุด ไปแล้ว จากนั้นให้เข้าถือเพิ่ม ถ้าดัชนีทะลุ 365 จุด ขึ้นไปอีก 1 สัญญา (ให้พิจารณาตรวจสอบสัญญาณ Divergence ก่อนเข้าถือสัญญาเพิ่ม เพื่อใช้ในการยืนยัน)
- เข้าถือเพิ่มอีก 1 สัญญา ถ้าดัชนีทะลุ 383 จุด ได้สำเร็จ พร้อมทั้งเฝ้าระวังอย่างรัดกุม โดยถ้าเห็นสัญญาณต่อไปนี้ ให้ทยอยลดสัญญาที่ถือ เช่น Double Top, Bearish Divergence เป็นต้น)
คงจะเป็นแนวคิดสำหรับกรณีศึกษาของการลงทุนในช่วงนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย ถ้าต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ www.technicalday.com หรือถ้าต้องการเข้าอบรมในหลักสูตร “ทำกำไร ในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” ในวันเสาร์ที่ 30 และ อาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2552 นี้ สามารถติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ คุณศิริพร หรือ คุณปรัชญา ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 627 3360 – 2 ครับ