"ฟินันซ่า"ขานรับผลบังคับใช้พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ปลายเดือนนี้เตรียมเปิดขายกองมันนี่ มาร์เก็ต สนองความต้องการลูกค้า พร้อมผุดไอเดียเจ๋ง 2 กองทุนอินเตอร์ Global Managed Futures Fund ลุยตลาดอนุพันธ์ และ Global Thematic Equity Fund ลุยหุ้นเอเชียในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และสินค้าโภคภัณฑ์ในเอเชีย ล่าสุดยื่นขอก.ล.ต. รอไฟเขียวเปิดโต๊ะรับจองภายในปีนี้
นายธีระ ภู่ตระกูล กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) เพื่อรองรับการลงทุนจากนักลงทุน และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2551 แต่ในขณะนี้ทาง บลจ.เอง กำลังรอดูอยู่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่คาดว่าคงไม่ย่ำแย่ลงไปกว่านี้
สำหรับธุรกิจบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น บริษัทได้มีการลงทุนแบบ Employee’s Choice และ Life Cycle Portfolio Concept ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนสามารถเลือกกองทุนได้ด้วยตัวเอง โดยในปัจจุบัน บริษัทมีกองทุนให้เลือก 4 ประเภท ได้แก่ ตราสารหนี้ หุ้นในประเทศ หุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก และสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มกองทุนทางเลือกอีก 2 กองทุน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนที่ลงทุนใน Global Managed Futures Fund และกองทุน Global Thematic Equity Fund ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
สำหรับกองทุน Global Managed Futures Fund จะเป็นกองทุนเปิด แต่ไม่ได้มีการเปิดซื้อขายในทุกวัน โดยจะเน้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภท Futures ที่อ้างอิงกับหุ้น พันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ โดยจะเป็นกองทุนที่เฟดเข้าไป แต่จะไม่มีการปิดค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทแต่อย่างใด ทั้งนี้การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภท Futures มีข้อดีคือสามารถใช้เงินลงทุนค่อนข้างต่ำเพียง 10% ของราคาซื้อขายเท่านั้น และสามารถทำกำไรทั้งในระยะยาว และระยะสั้น หากลงทุนจะช่วยให้สร้างโอกาสในสร้างผลตอบแทน และพอร์ตลงทุนมีความเสี่ยงลดลง ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้การลงทุนมีความคล่องตัวมากขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย
ส่วนกองทุน Global Thematic Equity Fund มาจากแนวคิดจากการมีช่องว่างการลงทุน โดยในหุ้นทั่วโลกจะมี Theme ต่างๆ ที่มีความน่าสนใจ และจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาว ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในหุ้นทั่วโลก และ บลจ.จะมีการเลือกให้นักลงทุนควรถือครองในระยะยาว โดยเบื้องต้นจะเข้าไปลงทุนในหุ้นในระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่มีศักยภาพสูง เช่น ประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่ต้องมีการก่อสร้างระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ถนน ดังเช่น ดูไบ จีน อินเดีย ที่ยังมีระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานยังมีค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็น Theme ที่น่าสนใจในระยะยาว
ขณะที่อีกส่วนจะเป็นการบริโภคของคนในภูมิภาคเอเชีย โดยหุ้นในตลาดเอเชียนี้ได้ปรับตัวลงมามาก และหุ้นยังมีราคาที่อยู่ในระดับที่ต่ำ หากเข้าไปซื้อแล้วถือครองในระยะยาว หุ้นตัวนี้ก็จะได้รับประโยชน์ในส่วนที่การบริโภคของคนในภูมิภาคเอเชีย เพราะมีข้อดีมาจากการที่ประชากรในภูมิภาคเอเชียที่มีพื้นฐานรายได้ที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อมีรายได้ดีขึ้น จึงเกิดการบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกองทุนนี้จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากตรงนั้น
นอกจากนี้ การที่แบรนด์สินค้าส่วนใหญ่เมื่อก่อนเป็นแบรนด์สินค้าจากสหรัฐอเมริกา และในปัจจุบันแบรนด์สินค้าในภูมิภาคเอเชียเกิดขึ้นมาก และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อผู้บริโภคไม่มีเงินพอที่จะซื้อแบรนด์จากสหรัฐ แบรนด์จากเอเชียจึงได้รับประโยชน์มากขึ้น และในอนาคตแบรนด์สินค้าในภูมิภาคเอเชียจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก และสามารถเข้าไปขายได้ในภูมิภาคอื่นด้วย ซึ่งจะทำให้ได้พอร์ตลงทุนที่มีศักยภาพในการทำกำไร และมิติของความเสี่ยงที่กระจายความเสี่ยงไปในตัวของมันเอง
นายธีระ ภู่ตระกูล กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมออกกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) เพื่อรองรับการลงทุนจากนักลงทุน และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนได้ประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2551 แต่ในขณะนี้ทาง บลจ.เอง กำลังรอดูอยู่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่คาดว่าคงไม่ย่ำแย่ลงไปกว่านี้
สำหรับธุรกิจบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น บริษัทได้มีการลงทุนแบบ Employee’s Choice และ Life Cycle Portfolio Concept ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนสามารถเลือกกองทุนได้ด้วยตัวเอง โดยในปัจจุบัน บริษัทมีกองทุนให้เลือก 4 ประเภท ได้แก่ ตราสารหนี้ หุ้นในประเทศ หุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก และสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก
นอกจากนี้ บริษัทจะเพิ่มกองทุนทางเลือกอีก 2 กองทุน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนที่ลงทุนใน Global Managed Futures Fund และกองทุน Global Thematic Equity Fund ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคาดว่าจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
สำหรับกองทุน Global Managed Futures Fund จะเป็นกองทุนเปิด แต่ไม่ได้มีการเปิดซื้อขายในทุกวัน โดยจะเน้นลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภท Futures ที่อ้างอิงกับหุ้น พันธบัตร อัตราแลกเปลี่ยน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ โดยจะเป็นกองทุนที่เฟดเข้าไป แต่จะไม่มีการปิดค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทแต่อย่างใด ทั้งนี้การลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภท Futures มีข้อดีคือสามารถใช้เงินลงทุนค่อนข้างต่ำเพียง 10% ของราคาซื้อขายเท่านั้น และสามารถทำกำไรทั้งในระยะยาว และระยะสั้น หากลงทุนจะช่วยให้สร้างโอกาสในสร้างผลตอบแทน และพอร์ตลงทุนมีความเสี่ยงลดลง ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้การลงทุนมีความคล่องตัวมากขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้นด้วย
ส่วนกองทุน Global Thematic Equity Fund มาจากแนวคิดจากการมีช่องว่างการลงทุน โดยในหุ้นทั่วโลกจะมี Theme ต่างๆ ที่มีความน่าสนใจ และจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาว ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในหุ้นทั่วโลก และ บลจ.จะมีการเลือกให้นักลงทุนควรถือครองในระยะยาว โดยเบื้องต้นจะเข้าไปลงทุนในหุ้นในระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่มีศักยภาพสูง เช่น ประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่ต้องมีการก่อสร้างระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ถนน ดังเช่น ดูไบ จีน อินเดีย ที่ยังมีระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานยังมีค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็น Theme ที่น่าสนใจในระยะยาว
ขณะที่อีกส่วนจะเป็นการบริโภคของคนในภูมิภาคเอเชีย โดยหุ้นในตลาดเอเชียนี้ได้ปรับตัวลงมามาก และหุ้นยังมีราคาที่อยู่ในระดับที่ต่ำ หากเข้าไปซื้อแล้วถือครองในระยะยาว หุ้นตัวนี้ก็จะได้รับประโยชน์ในส่วนที่การบริโภคของคนในภูมิภาคเอเชีย เพราะมีข้อดีมาจากการที่ประชากรในภูมิภาคเอเชียที่มีพื้นฐานรายได้ที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อมีรายได้ดีขึ้น จึงเกิดการบริโภคมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งกองทุนนี้จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากตรงนั้น
นอกจากนี้ การที่แบรนด์สินค้าส่วนใหญ่เมื่อก่อนเป็นแบรนด์สินค้าจากสหรัฐอเมริกา และในปัจจุบันแบรนด์สินค้าในภูมิภาคเอเชียเกิดขึ้นมาก และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อผู้บริโภคไม่มีเงินพอที่จะซื้อแบรนด์จากสหรัฐ แบรนด์จากเอเชียจึงได้รับประโยชน์มากขึ้น และในอนาคตแบรนด์สินค้าในภูมิภาคเอเชียจะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก และสามารถเข้าไปขายได้ในภูมิภาคอื่นด้วย ซึ่งจะทำให้ได้พอร์ตลงทุนที่มีศักยภาพในการทำกำไร และมิติของความเสี่ยงที่กระจายความเสี่ยงไปในตัวของมันเอง