xs
xsm
sm
md
lg

มองภาพใหญ่ ไม่ใช่ภาพเล็ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ตลาดทุนไทนในสายตาต่างชาติ
บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด


ที่ต้องเกริ่นนำแบบนี้ เพราะผมมีประสบการณ์ในการอบรมนักลงทุนแบบตัวต่อตัว และแบบเป็นกลุ่ม มาหลายต่อหลายครั้ง ปัญหาที่มักพบบ่อยคือ ดังลงทุนส่วนใหญ่มักเข้าใจหลักด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบผิดๆ เพราะว่านักลงทุนหลายท่าน หมกมุ่นกับภาวะการเคลื่อนไหวของกราฟราคา ในช่วงเวลาสั้นๆ หรือ Time frame เล็กๆ มากเกินไป (อันเนื่องมาจาก ตลาดการเงินส่วนใหญ่ในภาพรวม กำลังปรับตัวเพื่อสร้างสัญญาณ Topping จึงเกิดลักษณะ Side way ที่ทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวมากนัก) จนทำให้อยู่ในภาวะขาดทุน อันสืบเนื่องมาจากเหตุผลดังนี้ครับ

1.หาจุดเข้า (Entry) ได้ดี แต่หาจุดออก (Exit) ที่ทำให้ตัวเอง ได้กำไรไม่ได้ อันเนื่องมาจากการใช้อินดิเคเตอร์ มาเป็นตัวกำหนดสัญญาณเข้า-ออก โดยปราศจากความรู้เรื่อง การเคลื่อนไหวของคลื่น และแนวโน้ม

2.ไม่รู้จักการ Stop loss ที่ถูกต้อง นั่นหมายความว่า ทุกครั้งแวลาตั้งจุดขายตัดขาดทุน (stop loss) มักจะไม่มีระบบ และใช้จิตใจ (ความโลภ + ความกลัว) เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทำให้บางครั้งก็ขาดทุนมากเกินไป และบางครั้ง ก็ได้กำไรน้อยเกินไป

3.ไม่รู้จัก let profit run (การได้กำไรในช่วง Big move) ซึ่งมาจากพื้นฐานการลงทุนโดยใช้ Indicators อีกนั่นแหละ บวกกับความรู้เรื่องการนับคลื่น ที่หลายคนยอมแพ้ก่อน ที่จะเรียนรู้แบบเข้าถึง และเข้าใจได้สำเร็จ (ผมมีคอร์สอบรม เกี่ยวกับการนับคลื่นให้ได้ภายใน 1 วัน สนใจลองเข้าไปที่ www.technicalday.com) ทำให้พลาดช่วงเวลา ในการทำกำไรมหาศาลไปได้อย่างน่าเสียดาย ดูรูปที่ 1 ประกอบ

4.ไม่รู้จัก Money Management หมายความว่า ในการลงทุนจริงๆ แล้ว อยู่บนพื้นฐานของความน่าจะเป็นที่ว่า หากเราใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่เหมาะสม หากเรา ซื้อ-ขาย 10 ครั้ง เราก็น่าที่จะได้กำไร มากกว่าขาดทุน และเพื่อคงความได้เปรียบในฟากของกำไร เราควรตั้งจุดทำกำไร ที่สูงกว่า จุดขาดทุน เช่น เราจะใช้กลยุทธ์ A ในการ ซื้อ-ขาย ในช่วงการแกว่งตัวแบบ Side way ตามสัญญาณ เข้า-ออก ตลาด ที่ได้กำหนดไว้ โดยทุกครั้งที่ เข้าซื้อ เรามีโอกาสได้กำไร 100 บาท แต่หากการเคลื่อนไหวไม่เป็นอย่างที่เราคาด เราจะยอมขาดทุนได้แค่ 20 บาท ดังนั้น ในการ ซื้อ- ขาย 10 ครั้ง หากเราปฏิบัติตามกฏที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ถึงแม้เราจะ ได้กำไรเพียงแค่ 5 ครั้ง จาก 10 ครั้ง ที่เราเข้าลงทุน แต่เนื่องจาก กำไรที่กำหนด มีค่ามากกว่า ขาดทุน ถึง 5 เท่า เราก็ยังคงได้กำไรอยู่ครับ

รูปที่ 1 การเคลื่อนไหวของกราฟราคา ซึ่งอ้างอิงจากทฤษฏี Elliott Wave แต่ปรับให้ดูง่ายขึ้น (อ้างอิงจากเอกสารการฝึกอบรมหัวข้อ “การทำกำไรในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” โดย ธิติ ธาราสุข)

รูปด้านบน แสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Trending หรือช่วงที่มีการปรับตัว ขึ้น และ ลง แบบรวดเร็ว (Big move) ที่สามารถทำกำไรให้กับนักลงทุน ได้มากกว่าช่วงอื่นๆ (ทั้งขาขึ้น และขาลง) หากเปรียบเทียบโดยการใช้อัตราส่วนระหว่างระยะเวลา กับ อัตราผลตอบแทน

นักลงทุนคงน่าจะเห็นสอดคล้องกับผมว่า หากเราบริหารองค์ประกอบ 4 ขั้นตอน ข้างต้นได้ดี ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ย่อมทำให้เราสามารถทำกำไรในตลาดการเงิน ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยที่ไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ เพื่อรอลุ้นให้เสียเวลา เพียงแค่รอ และจับจังหวะ Big move ให้ได้ ก็แค่นั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น