xs
xsm
sm
md
lg

รายงานจากผู้จัดการกองทุนประจำเดือนเมษายน 2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย บริษัทหลัทกรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด


ตลาดตราสารหนี้
สถานการณ์ในเดือนมีนาคม

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยแบบ Outright ต่อวันในเดือนมีนาคม 2552 ของตลาดตราสารหนี้พิ่มขึ้นเป็น 67.922 พันล้านบาทจาก 66.437 พันล้านบาทในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็นร?อยละ1.69 และดัชนีหุ้นกู?ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนร?อยละ 0.79 ณ สิ้นเดือนมีนาคม ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร?อยละ 3.35 และมีอายุเฉลี่ยเท?ากับ 5.37 ป? ในขณะที่ดัชนีหุ?นกู?ภาคเอกชนมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร?อยละ 4.40 และอายุเฉลี่ยเท?ากับ 2.84 ป? อัตราผลตอบแทนปรับลดลงตลอดทั้งเส้น โดยอัตราผลตอบแทนระยะสั้นตั้งแต่ อายุ 1 - 6 เดือน ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.27 ถึง 0.32 พันธบัตรระยะสั้นอายุ 1-3 ปีปรับตัวลดลงร้อยละ 0.13 ถึง 0.27 พันธบัตรระยะกลางอายุ 5-10 ป?ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงร้อยละ 0.18 ถึง 0.28 และพันธบัตรระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.12 ถึง 0.48

แนวโน้ม
สภาวะตลาดในเดือนเมษายน 2552 คาดว่าการลงทุนอาจมีการขยับไปลงทุนในตราสารระยะกลางและยาวมากขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ ตลาดยังคาดการณ์ว่า กนง. น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2552 นี้ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกกันตลาดตราสารหนี้

กลยุทธ์ประจำเดือน
กลยุทธ์การลงทุนคือ ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางและยาว

ตลาดตราสารทุน
ตัวเลขเศรษฐกิจ


เงินเฟ้อพื้นฐานได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.2% เทียบปีต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% เทียบปีต่อปี กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation) ขยายตัวติดลบ 0.2% เทียบปีต่อปี แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ที่เพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ทรงตัว 1.5% เทียบปีต่อปี โดยการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเป็นสาเหตุหลักทำให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นนับแต่เดือนกุมภาพันธ์

การนำเข้าหดตัวลงอย่างมาก
ดุลการค้าเดือน กุมภาพันธ์ เกินดุล 3,946 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนำเข้าหดตัวลงมาก มูลค่าการส่งออกลดลง 11.1% เทียบปีต่อปี สู่จำนวน 11,582 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมการส่งออกทองมูลค่า 1,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว มูลค่าการส่งออกจะหดตัวลงถึง 24.5% เทียบปีต่อปี มูลค่าการนำเข้าหดตัวลง 43.5% เทียบปีต่อปี เป็นจำนวน 7,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 19.8% เทียบปีต่อปี ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (PCI) หดตัวลง 7.1% เทียบปีต่อปี ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) ลดลง 12.9% เทียบปีต่อปี ตามเครื่องชี้ในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่หดตัวลงมาก ในขณะที่หมวดการก่อสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง

อุปสงค์ในประเทศยังไม่ถึงจุดต่ำสุด
ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนหดตัวแรงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ยอดขายเชื้อเพลิงยังคงขยายตัว 1.7% แต่นับว่ายังคงต่ำกว่าระดับ 10% ในเดือนก่อน โดยอัตราการหดตัวของภาษีมูลค่าเพิ่มและการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคหดตัวมากสุด 21.5% และ 18% เทียบปีต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) กลับมาปรับตัวลดลงจากระดับ75.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ ลงมาอยู่ที่ระดับ 74 จุด ซึ่งนับว่าต่ำสุดนับแต่เดือนมกราคม 2545 สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนนั้น จะพบว่าหดตัวมากสุดสำหรับยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ (-38% เทียบปีต่อปี ) และยอดขออนุมัติพื้นที่ก่อสร้าง (-33%)

สรุปภาวะตลาด
SET ปรับตัวลดลงช่วงต้นเดือนตามการปรับตัวลดลงของตลาดสหรัฐฯและยุโรป โดยมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับแผนช่วยเหลือ Citigroup AIG และ HSBC แต่หลังจากนั้น SET ก็สามารถยืนอยู่ได้ เนื่องจากนาย Ben Bernake ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ และนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาย้ำถึงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้จิตวิทยาของนักลงทุนฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากสหรัฐฯประกาศแผนซื้อหนี้ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีการขายทำกำไรเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนส่งผลทำให้ SET ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนโดยอยู่ที่ระดับ 431.50 จุด

แนวโน้มตลาดเดือนเมษายน
ความเสี่ยงแนวโน้มขาลงมีมากในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายน เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น แต่เราเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันน่าจะร้ายแรงกว่าที่ปรากฏให้เห็นตามสื่อต่างๆ อย่างไรก็ดี ถ้าความรุนแรงไม่ขยายต่อเนื่อง เราเชื่อว่า SET จะทรงตัวอยู่ได้เนื่องจากกลุ่มธนาคารน่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2552 ที่เป็นไปตามคาด และเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวถึง 5 วัน

กลยุทธ์ประจำเดือนมีนาคม
ให้น้ำหนักการลงทุน มากกว่าตลาด ในหมวด ธนาคารขนาดใหญ่ สื่อสาร และพาณิชย์
ให้น้ำหนักการลงทุน น้อยกว่าตลาด ในหมวด พลังงาน ปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น