เปิดพอร์ตกองทุนแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ ค่ายอเบอร์ดีน ผู้จัดการกองทุนเผย ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นที่มีความทนทานต่อความผันผวน โดยเลือกหุ้นที่มีการเติบโตระยะยาว ปันผลดี พร้อมเข้าเยี่ยมชมบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน แนะทยอยซื้อหวังทำกำไรระยะยาว ส่วนตราสารหนี้ ชูกลยุทธ์ลงทุนแบบมันนี่มาร์เกต แต่เน้นความมั่งคง ปลอดภัยเป็นหลัก
นางสาว รัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว โดยทั้งสองกองทุนนั้นมีวิธีการบริหารปรับพอร์ตการลงทุนที่ต่างกัน ซึ่งกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ จะมีการลงทุนคล้ายๆกับกองทุนอเบอร์ดีน โกรท คือเลือกลงทุนในหุ้นที่มีขนาดเล็ก กลาง ไปจนถึงหุ้นที่มีขนาดใหญ่ แต่สำหรับกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว จะเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง
ทั้งนี้ ในการปรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้น เนื่องจากทั้งสองกองทุนเป็นการลงทุนในระยะยาว จึงถือว่าเป็นการบริหารจัดการในแบบของบริษัทที่เน้นการบริหารในระยะกลางไปจนถึงระยะยาว โดยบริษัทจะมีการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซึ่งศึกษาจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัท รวมไปถึงหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี และการลงทุนของเราจะไม่ลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูงในตลาด
สำหรับการเลือกศึกษาหุ้นที่บริษัทจะลงทุนนั้น บริษัทเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทำความเข้าใจได้ง่าย โดยจะมีการเข้าไปเยี่ยมชมธุรกิจนั้น ซึ่งจากการเข้าเยี่ยมชมทำให้บริษัทได้รู้ถึงพื้นฐานของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุน อีกทั้งสามารถประเมิณราคาหุ้นของบริษัทนั้นได้ จากการศึกษาข้อมูลต่างๆทั่วโลกเพื่อนำมาเปรียบเทียบ
"เราจะเน้นซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีในช่วงที่ราคาของหุ้นตัวนั้นถูกเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาเนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปมาก ทำให้เรามองหาการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีในระยะกลางและระยะยาว แล้วจึงเริ่มทยอยซื้อเก็บเข้าพอร์ตการลงทุนในช่วงที่หุ้นราคาต่ำ เพราะเรามองว่าหุ้นกลุ่มนี้ดีแล้วโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและการทำกำไรในอนาคตนั้นมีสูง อีกทั้งที่ผ่านมานั้น การปรับพอร์ตของเราจะเป็นการทยอยซื้อมากกว่าที่จะระดมทุนซื้อในครั้งเดียวเพื่อทำกำไรเพราะกองทุนของเราไม่ใช่นักเกร็งกำไร"นางสาวรัตนวรรณ กล่าว
ขณะเดียวกัน การปรับพอร์ตของบลจ.อเบอร์ดีนในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้มีการให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดหุ้น อาทิเช่น หุ้นในกลุ่มสาธารณูประโภคพื้นฐาน กลุ่มเฮลล์แคร์ และกลุ่มที่มีจำเป็นจะต้องใช้
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 26 มีนาคม 2552 พบว่า กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่-0.05% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.62% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่-23.92% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่-29.01 % ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -38.35 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -46.26% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 102.14% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 27.34%
ขณะที่ หลักทรัพย์ ที่กองทุนลงทุน ณ วันที่ 30 มกราคม 2552ได้แก่ อันดับ1 บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.3%อันดับ 2 บมจ. สยามแม็คโคร 7.5% อันดับ 3 บมจ. บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 5.9% อันดับ4บมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ 5.9% อันดับ 5.บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 5.9% อันดับ6.บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 5.8%อันดับ7.บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส 5.1% อันดับ8.บมจ. กรุงเทพประกันภัย 4.4% อันดับ9.บมจ. เเอดวานซ์ อิน โฟร์ เซอร์วิส 4.2% และอันดับสุดท้าย บมจ. ธนาคา รไทยพาณิชย์ 4.2%
ด้านสัดส่วนการลงทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ได้ดังนี้ พลังงาน และ สาธารณูปโภค 17.6 % พาณิชย์ 13.9%ธนาคาร13.1%ประกันภัย และ ประกันชีวิต 10.3%วัสดุ ก่อสร้าง9.8%อื่นๆ31.0%เงินฝาก ธนาคาร และ ทรัพย์สิน อื่น 4.3% โดยกองทุนเน้นลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารแห่งทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.
สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ได้แก่กองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.13% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.62% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -23.84% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.01% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -39.62 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -46.26% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.05% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.31%
โดยมีมีหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนได้แก่ อันดับ 1 บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.2% อันดับ 2 บมจ. สยามแม็คโคร 7.5% อันดับ3 บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 7.5% อันดับ4 บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 7.2% อันดับ5 บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ 5.7% อันดับ6 บมจ. บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 4.8% อันดับ7 บมจ. เเอดวานซ์ อิน โฟร์ เซอร์วิส 4.7% อันดับ8 บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส 4.6% อันดับ9 บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง 4.4% และอันดับ10 บมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ 4.2% มีสัดส่วนการลงทุนโดยแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมได้แก่ ธนาคาร 17.6%พลังงาน และ สาธารณูปโภค 17.4%พาณิชย์ 12.8%วัสดุ ก่อสร้าง 11.6% ประกันภัย และ ประกันชีวิต 7.5%อื่นๆ 27.2% และเงินฝาก ธนาคาร และ ทรัพย์สิน อื่น 5.9%
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวถึงกองทุนรวมตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพว่า สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนที่มีลักษณะคล้ายกับกองมันนี่มาร์เกต โดยจะเน้นลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน ขณะที่ยิลด์ของพอร์ตการลงทุนของกองทุนจะมีความใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่อยู่ที่ประมาณ 1.5% นอกจากนี้ กองทุนจะไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุนมากนัก เนื่องจากว่ากองทุนของบริษัทเน้นลงทุนในตราสารที่มีความปลอดภัยเป็นหลัก ที่ลงทุนในธนาคารแห่งประเทสไทยและกระทรวงการคลัง
ในส่วนกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.62% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -6.48% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.70% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 9.23% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.17 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 6.10% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 1.78% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 3.48%
ขณะเดียวกันกองทุนได้ลงทุนใน ธนาคารแห่งประเทศไทย 61.7 % และลงทุนในกระทรวงการคลัง 39.7% โดยมีสัดส่วนการลงทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ออกหรือกระทรวงการคลังค้ำประกัน 101.40% และเงินฝากและอื่นๆ-1.4%
นางสาว รัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว โดยทั้งสองกองทุนนั้นมีวิธีการบริหารปรับพอร์ตการลงทุนที่ต่างกัน ซึ่งกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ จะมีการลงทุนคล้ายๆกับกองทุนอเบอร์ดีน โกรท คือเลือกลงทุนในหุ้นที่มีขนาดเล็ก กลาง ไปจนถึงหุ้นที่มีขนาดใหญ่ แต่สำหรับกองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว จะเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง
ทั้งนี้ ในการปรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้น เนื่องจากทั้งสองกองทุนเป็นการลงทุนในระยะยาว จึงถือว่าเป็นการบริหารจัดการในแบบของบริษัทที่เน้นการบริหารในระยะกลางไปจนถึงระยะยาว โดยบริษัทจะมีการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ซึ่งศึกษาจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัท รวมไปถึงหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี และการลงทุนของเราจะไม่ลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนสูงในตลาด
สำหรับการเลือกศึกษาหุ้นที่บริษัทจะลงทุนนั้น บริษัทเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทำความเข้าใจได้ง่าย โดยจะมีการเข้าไปเยี่ยมชมธุรกิจนั้น ซึ่งจากการเข้าเยี่ยมชมทำให้บริษัทได้รู้ถึงพื้นฐานของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุน อีกทั้งสามารถประเมิณราคาหุ้นของบริษัทนั้นได้ จากการศึกษาข้อมูลต่างๆทั่วโลกเพื่อนำมาเปรียบเทียบ
"เราจะเน้นซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีในช่วงที่ราคาของหุ้นตัวนั้นถูกเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาเนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปมาก ทำให้เรามองหาการลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีในระยะกลางและระยะยาว แล้วจึงเริ่มทยอยซื้อเก็บเข้าพอร์ตการลงทุนในช่วงที่หุ้นราคาต่ำ เพราะเรามองว่าหุ้นกลุ่มนี้ดีแล้วโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและการทำกำไรในอนาคตนั้นมีสูง อีกทั้งที่ผ่านมานั้น การปรับพอร์ตของเราจะเป็นการทยอยซื้อมากกว่าที่จะระดมทุนซื้อในครั้งเดียวเพื่อทำกำไรเพราะกองทุนของเราไม่ใช่นักเกร็งกำไร"นางสาวรัตนวรรณ กล่าว
ขณะเดียวกัน การปรับพอร์ตของบลจ.อเบอร์ดีนในช่วงที่ผ่านมานั้น ได้มีการให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีความทนทานต่อความผันผวนของตลาดหุ้น อาทิเช่น หุ้นในกลุ่มสาธารณูประโภคพื้นฐาน กลุ่มเฮลล์แคร์ และกลุ่มที่มีจำเป็นจะต้องใช้
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ณ วันที่ 26 มีนาคม 2552 พบว่า กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่-0.05% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.62% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่-23.92% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่-29.01 % ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -38.35 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -46.26% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 102.14% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 27.34%
ขณะที่ หลักทรัพย์ ที่กองทุนลงทุน ณ วันที่ 30 มกราคม 2552ได้แก่ อันดับ1 บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.3%อันดับ 2 บมจ. สยามแม็คโคร 7.5% อันดับ 3 บมจ. บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 5.9% อันดับ4บมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ 5.9% อันดับ 5.บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 5.9% อันดับ6.บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 5.8%อันดับ7.บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส 5.1% อันดับ8.บมจ. กรุงเทพประกันภัย 4.4% อันดับ9.บมจ. เเอดวานซ์ อิน โฟร์ เซอร์วิส 4.2% และอันดับสุดท้าย บมจ. ธนาคา รไทยพาณิชย์ 4.2%
ด้านสัดส่วนการลงทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ได้ดังนี้ พลังงาน และ สาธารณูปโภค 17.6 % พาณิชย์ 13.9%ธนาคาร13.1%ประกันภัย และ ประกันชีวิต 10.3%วัสดุ ก่อสร้าง9.8%อื่นๆ31.0%เงินฝาก ธนาคาร และ ทรัพย์สิน อื่น 4.3% โดยกองทุนเน้นลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารแห่งทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนที่เหลือจะลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.
สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ได้แก่กองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.13% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -1.62% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ -23.84% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.01% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -39.62 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -46.26% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 3.05% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -29.31%
โดยมีมีหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนได้แก่ อันดับ 1 บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม 9.2% อันดับ 2 บมจ. สยามแม็คโคร 7.5% อันดับ3 บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 7.5% อันดับ4 บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย 7.2% อันดับ5 บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ 5.7% อันดับ6 บมจ. บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 4.8% อันดับ7 บมจ. เเอดวานซ์ อิน โฟร์ เซอร์วิส 4.7% อันดับ8 บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส 4.6% อันดับ9 บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง 4.4% และอันดับ10 บมจ. ไทยรับประกันภัยต่อ 4.2% มีสัดส่วนการลงทุนโดยแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมได้แก่ ธนาคาร 17.6%พลังงาน และ สาธารณูปโภค 17.4%พาณิชย์ 12.8%วัสดุ ก่อสร้าง 11.6% ประกันภัย และ ประกันชีวิต 7.5%อื่นๆ 27.2% และเงินฝาก ธนาคาร และ ทรัพย์สิน อื่น 5.9%
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวถึงกองทุนรวมตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพว่า สำหรับกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนที่มีลักษณะคล้ายกับกองมันนี่มาร์เกต โดยจะเน้นลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน ขณะที่ยิลด์ของพอร์ตการลงทุนของกองทุนจะมีความใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่อยู่ที่ประมาณ 1.5% นอกจากนี้ กองทุนจะไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุนมากนัก เนื่องจากว่ากองทุนของบริษัทเน้นลงทุนในตราสารที่มีความปลอดภัยเป็นหลัก ที่ลงทุนในธนาคารแห่งประเทสไทยและกระทรวงการคลัง
ในส่วนกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทอินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 1.62% เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -6.48% ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.70% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 9.23% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.17 % เทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 6.10% และตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 1.78% เมื่อเทียบเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 3.48%
ขณะเดียวกันกองทุนได้ลงทุนใน ธนาคารแห่งประเทศไทย 61.7 % และลงทุนในกระทรวงการคลัง 39.7% โดยมีสัดส่วนการลงทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ออกหรือกระทรวงการคลังค้ำประกัน 101.40% และเงินฝากและอื่นๆ-1.4%