xs
xsm
sm
md
lg

ตลท.ผนึกบลจ.กระตุ้นกองทุนรวม คลอดเคมเปญดึงนักลงทุนหน้าใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึกบลจ. คลอดเคมเปญ “ลงทุนง่าย ได้ทุกเดือนกับ Monthly Pay – Money Plus” หวังกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจกองทุนรวม โดยมีเป้าหมายดึงนักลงทุนหน้าใหม่เป็นหลัก ด้านนายกสมาคมบลจ. ย้ำ แม้ปี 51 ทั้งอุตสาหกรรมลดลง 5% แต่ฐานผู้ถือหน่วยลงทุนยังขยายตัวกว่า 20%
 นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองกรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภายหลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มูลนิธิกองทุนพัฒนาระบบตลาดทุน และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ บลจ.ทุกแห่งร่วมมือในการดำเนินโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม เพื่อเสริมสร้างความรู้เรื่องการลงทุนที่ถูกต้องให้กับนักลงทุน และใช้กองทุนรวมเป็นทางเลือกบริหารเงิน พบว่ามีการขยายตัวไปถึง 6 เท่า จากปี 2545 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพียง 197,689 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,358,670 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2551 นับเป็นอัตราเติบโตถึง 588%
    โดยในปีนี้ โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวมได้จัดการรณรงค์ทางการตลาดผ่านโครงการ “ลงทุนง่าย ได้ทุกเดือนกับ Monthly Pay – Money Plus” เน้นการลงทุนไปยังนักลงทุนหน้าใหม่ว่าการลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก เริ่มต้นได้ที่ด้วยเงินไม่มาก สะดวกด้วยการตัดบัญชีและมืออาชีพดูแลผลแทนให้ กระตุ้นให้เกิดการวางแผนภาษีผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ด้วยการลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือนนี้จะช่วยลดภาระการลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ในช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนด้วย

ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) กล่าวว่า แม้ในปี 2551 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิจะลดลงประมาณ 5% คือจาก 1,477,168 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 เป็น 1,358,670 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 แต่จำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนยังคงมีการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นกว่า 20% คือจากประมาณ 1,481,352 บัญชี ณ สิ้นปี 2550 เป็น 1,779,982 บัญชี ณ สิ้นปี 2551 กองทุนซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุดยังคงเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 974,105 ล้านบาท และยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะดอกเบี้ยขาลง ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 0.50-1.25% แต่กองทุนรวมตราสารหนี้เฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ที่ประมาณ 2-3%
   ส่วนโครงการ “ลงทุนง่าย ได้ทุกเดือนกับ Monthly Pay – Money Plus” นี้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ลงทุน เพราะการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยตามหลัก Dollar Cost Average จะช่วยในการกระจายความเสี่ยงจากราคาของหลักทรัพย์ที่อาจจะผันผวนได้ และที่สำคัญคือช่วยสร้างวินัยในการลงทุน และช่วยให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นได้เป็นจำนวนมาก โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 60,000 บัญชี โดยตั้งใจขยายฐานลูกค้ามากกว่าการเพิ่มของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยรวม
     นางวรวรรณ   กล่าวว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันภาวะตลาดจะไม่ค่อยดี แต่ตราสารหนี้ยังลงทุนได้  เพราะมีความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นทางออกทำให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมเจริญเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม ตราสารหนี้จะมีความเสี่ยงในด้านความสามารถในการคืนเงินต้น ซึ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ดีมากระทบจึงทำให้บางบริษัทมีความสามารถในการคืนเงินต้นน้อยลงไปด้วย ส่วนการเข้าไปลงทุนในตราสารของเกาหลีใต้นั้นควรจะลงทุนในตราสารที่ออกโดยภาครัฐเท่านั้น ไม่ควรลงทุนในตราสารที่ออกโดยสถาบันการเงิน เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงกว่า และมีโอกาสได้รับคืนเงินต้นแน่นอน แม้ว่าบางครั้งรัฐบาลบางประเทศอาจจะคิดไม่คืนเงินต้น แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็จำเป็นต้องจ่ายเงินต้นคืนเราอยู่ดี
     นางวรวรรณกล่าวต่อถึงวิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาว่า ไม่ได้เกิดจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์)  แต่เกิดจากการที่ภายหลังการเกิดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียมีการวินัยทางการเงินมากขึ้น และมีเงินออมเป็นจำนวนมาก และเงินออมจึงไหลไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อต้องการหาแหล่งลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี และเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปยังสหรัฐฯกลับมีจำนวนมหาศาลมาก ส่วนเม็ดเงินที่ไหลไปยังยุโรปเช่นกัน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจยุโรปบางประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเงินที่มีมหาศาล
     ขณะเดียวกัน ผนวกกับระบบการเงินเริ่มถดถอย ทำให้เงินลงทุนไหลเข้ามาอย่างมหาศาล และฟองสบู่จากอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐเกิดจากอสังหาริมทรัพย์บริเวณชายทะเล แต่กลับส่งผลไปยังประชาชนที่พักอาศัยอยู่บริเวณใจกลางประเทศอย่างดีทรอยท์ เนื่องจากความเสียหายกระจายไม่จำกัดเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ แต่กระจายไปยังทุกส่วนภาค อาทิ ประเทศเยอรมนีเมื่อผลิตรถยนต์ขึ้นมาแต่กลับไม่สามารถขายได้ หากยุโรปตะวันออกมีการค้าขายกับเกาหลีใต้ค่อนข้างมาก หากเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นมา เกาหลีใต้ก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย
   นอกจากนี้ สหรัฐฯไม่มีเงินออมเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการกู้เงิน อย่างไรก็ตาม มองว่าวิกฤติการณ์ดังกล่าวไม่จบลงภายในกลางปี 52 แน่นอน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสียหาย โดยหากสหรัฐได้รับกระทบแล้วจึงจะลุกลามมายังทวีปยุโรป และเอเชียตามลำดับ เนื่องจากเป็นยุคโลกาภิวัตน์ กระแสการเงินไม่มีการปิดกั้น ไม่คิดหาอะไรที่เหมาะสมกับตัวเองที่แท้จริง
    นายกสมาคม บลจ. กล่าวว่า เชื่อว่าในรอบ 70 ปีนี้ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงไปกว่านี้อีกแล้ว แต่อย่างน้อยยังมีความหวังที่ประเทศจีน ที่มีเม็ดเงินในระบบเป็นจำนวนมหาศาล แต่จีนเองก็ประสบกับปัญหาในภาคแรงงานเช่นกัน ในปัจจุบันมีคนว่างงานประมาณ 20 ล้านคน แม้ว่าจะน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด แต่ก็เป็นพลังงานจำนวนมากเช่นกัน แต่หวั่นว่าจะเกิดเทียนอันเหมิน ต้องจับตาดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการที่คู่ค้าสำคัญของประเทศไทยประมาณ 25% มีการค้าขายในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประเทศไทยต้องเกาะกลุ่มกันไว้ให้ดี และให้มีการหมุนเวียนค้าขายระหว่างกัน ขณะเดียวกันต้องทำให้เม็ดเงินหมุนสะพัดภายในประเทศ ซึ่งสามารถกระตุ้นหมุนเงินได้โดยคนไทยช่วยกันใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้
    ส่วนในปี 2552 ยังมีความเสี่ยงจากการส่งออก ซึ่งรัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไข ซึ่งเม็ดเงินอัดฉีดเข้าไปในระบบค่อนข้างจะมีอย่างจำกัด ทั้งนี้ ผลจากการเกิดวิกฤติการณ์ไม่ได้มาจากรัฐบาลชุดใด เนื่องจากเกิดขึ้นจากทั่วโลก หากจะนำมาตรการมาช่วยเหลือจะต้องช่วยคนที่ต้องการที่สุด เพื่อให้เกิดผลดีกับประเทศไทยโดยรวม และสามารถหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไปได้ โดยที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือ 2,000 บาทช่วยได้ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งจะต้องมีมาตรการระยะยาวมาช่วยด้วย และที่ผ่านมารัฐบาลอ่อนทางด้านการประชาสัมพันธ์มาก ส่วนการช่วยด้วยมาตรการทางด้านภาษีมาช่วยไม่ได้ช่วยให้มากเท่าที่ควร ที่สำคัญควรเติมเงินเข้าไปในระบบมากกว่า ในปัจจุบันประเทศอังกฤษมีการพิมพ์ธนบัตรแล้ว เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น