xs
xsm
sm
md
lg

2คู่หูอีทีเอฟ"TDEX-ENGY" ราคาตอบโจทย์ลงทุนระยะยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในช่วงปี 2550 และปี 2551 ที่ผ่านมา วงการตลาดทุนบ้านเราได้ถือกำเนิดรูปแบบการลงทุนแบบใหม่มาประดับวงการเพิ่มเติม นั่นคือ Equity ETF (Exchange Traded Fund) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "กองทุน ETF" นั่นเอง...ซึ่งกองทุนประเภทนี้ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ และมีสภาพคล่องในการซื้อขายค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเพราะตลาดดังกล่าวเกิดขึ้นมานานพอสมควร

สำหรับประเทศไทย ในปัจจุบันมีกองทุน Equity ETF ในตลาดจำนวน 2 กองทุนด้วยกัน คือ กองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ และกองทุน MTrack Energy ETF ซึ่งปัจจุบัน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ซื้อ "TDEX" และ "ENGY" ตามลำดับ

ถึงวันนี้ เชื่อว่าหลายคนอยากรู้ว่า ปัจจุบัน กองทุนทั้งสองกองนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนยังอยู่ดีหรือไม่ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ถ้าจะลงทุนช่วงนี้ ถือว่าน่าลงทุนหรือไม่

...ก่อนอื่นไปทำความเข้าใจก่อนว่า Equity ETF คืออะไร?

สำหรับ Equity ETF คือ กองทุนรวมประเภทกองทุนเปิด ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสมือนหุ้น ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อ คำสั่งขายผ่าน โบรกเกอร์ได้เหมือนการซื้อขายหุ้นทั่วไป และเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้เท่ากับดัชนีอ้างอิง อาทิเช่น ดัชนีราคาหุ้น ดัชนีราคาหุ้น SET50 ดัชนีราคาตราสารหนี้ เป็นต้น

โดยการลงทุนใน Equity ETF ในตลาดหลักทรัพย์สำคัญๆ ในต่างประเทศได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีสภาพคล่องจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และการอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นเสมือนการลงทุนในหุ้นที่เป็น องค์ประกอบของการคำนวณดัชนีทั้งหมด ทำให้ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ขณะเดียวกันก็ยังให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล (dividend) และส่วนต่างราคา (capital gain) แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

สำหรับ Equity ETF กองแรกของประเทศไทย ใช้ดัชนีราคาหุ้น SET50 เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง ผู้จัดการกองทุนจะรวบรวมเงินลงทุนจากกลุ่มผู้ร่วมลงทุนไปซื้อหุ้นในกลุ่ม SET50 โดยมีวัตถุประสงค์การลงทุนให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีราคาหุ้น SET50 มากที่สุด ดังนั้นพอร์ตการลงทุนจึงประกอบไปด้วยหุ้น 50 ตัวที่มีพื้นฐานดี มีมูลค่าตามราคาตลาด (market capitalization) อยู่ในระดับสูง และเป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในความต้องการของนักลงทุน มีการหมุนเวียนของการ ซื้อขายโดยตลอด หรือมีสภาพคล่องสูง

"TDEX" : ตอบโจทย์การลงทุนทั้ง Passive และ Active
หลังจากทำความรู้จักกับ Equity ETF แล้ว ก็ไปอัปเดต กองทุน "TDEX" และ "ENGY" กันดีกว่า

เริ่มต้นกันที่ "TDEX" ...โดย สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุน เล่าให้ฟังว่า กองทุน ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความสนใจระดับโลก เพราะมีมุมมองว่า ในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนมากกว่าแต่ก่อนมาก ขณะที่กองทุนจำนวนหนึ่งให้ผลตอบแทนสู้อินเด็กซ์ไม่ได้ ดังนั้น ความนิยมในกองทุน ETF จึงเพิ่มขึ้น ในการใช้เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนใก้ลเคียงดัชนีและต้นทุนการซื้อขายที่ต่ำกว่า

โดยปัจจุบัน การลงทุนใน ETF ทั่วโลก มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 8 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหลังจากนี้เอง ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ

ข้อแรก เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก เช่น TDEX เอง ที่สามารถกระจายการลงทุนในหุ้น 50 ตัวในตลาดได้ผ่านกองทุนเพียงกองเดียว แถมยังเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 50 ตัวในตลาดด้วย

ข้อสอง เป็นการลงทุนที่มีสภาพคล่อง สามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา การเปลี่ยนราคาของหุ้นในแต่ละวันสูงขึ้น ทำให้ช่วงเวลามีความสำคัญในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น โดย TDEX เอง นักลงทุนไม่ต้องรอราคาเอ็นเอวีในตอนเย็น แต่สามารถซื้อหรือขายได้ หากมองว่าราคาในช่วงนั้น น่าสนใจ

"สมจินต์" เล่าต่อว่า การลงทุนใน ETF เหมาะกับนักลงทุนที่มีสไตล์การลงทุนแบบ Passive และ Active ...โดยนักลงทุนที่เป็น Passive ก็จะมองการลงทุนระยะยาว ถ้าระดับราคาที่ซื้อสมเหตุสมผลในระยะยาวว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนนักลงทุนที่เป็น Active จะมี 2 แบบ คือนักลงทุนที่เลือกหุ้นที่คิดว่าแจ๋วที่สุดด้วยตัวเองและนักลงทุนที่เลือกจับจังหวะเวลาให้เหมาะสม ซึ่ง ETF เองตอบโจทย์นักลงทุนที่ชอบกะเก็งจังหวะของตลาด ดังนั้น ในแง่ของนักลงทุนเอง ก็ต้องตอบโจทย์ตัวเองด้วยว่า อยู่ในกลุ่มไหน Passiveหรือ Active

"ตลาดทุนในช่วงนี้ ยังคงเห็นความผันผวนอยู่คู่กับตลาดต่อไปอีก แต่ก็สามารถเลือกลงทุนได้ เพราะหากดูเวลูเอชั่นของตลาดในตอนนี้ ยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล แต่ต้องมีมุมมองต่อการลงทุนในระยะยาวอยู่เสมอ"

สำหรับกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ ใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (passive management strategy) โดยลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ จะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง (SET50 Index) ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการเข้าหรือออกจากการเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิงด้วย

โดยปัจจุบันกองทุน TDEX มีสภาพคล่องที่ค่อนข้างใช้ได้ โดยมีการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งจากการเดินทางไปให้ข้อมูลที่สิงคโปร์ล่าสุด ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในฐานะเครื่องมือการลงทุนที่มีประสินธิภาพ ส่วนความน่าสนใจของกองทุนเอง ก็คงเป็นไปตามความสนใจของประเทศเป็นหลัก

ส่วนราคาซื้อขายล่าสุด วานนี้ (26 ก.พ.) หลังปิดตลาดราคาอยู่ที่ 3.07 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้านี้ ในขณะที่ ดัชนี SET50 ปิดที่ระดับ 299.20 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้า 1.53 จุด

"ENGY" : หุ้นพลังงานสะท้อนข่าวร้ายไปบ้างแล้ว
กำพล อัศวกุลชัย
รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บลจ. ทหารไทย เล่าว่า สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นพลังงาน กองทุนเปิด MTrack Energy ETF หรือ "ENGY" ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการลงทุนที่ได้หุ้นพลังงานขนาดใหญ่ในตลาด แทนที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนด้วยการซื้อทุกตัว ซึ่งราคาซื้อขายเอง ก็สะท้อนราคาซื้อขายของหุ้นพลังงานในตลาดอยู่แล้ว พูดง่ายๆ คือ กองทุนนี้ สะดวกในแง่ของการลงทุน ไม่ต้องกระจายเม็ดเงินออกไปซื้อหุ้นแต่ละตัว ที่สำคัญใช้เงินลงทุนน้อยกว่า และสามารถซื้อขายได้ทั้งวันโดยไม่ต้องรอสิ้นวัน ส่วนผลตอบแทนก็จะล้อไปกับหุ้นพลังงานในตลาดทั้งหมดด้วย

"กองทุน ENGY เหมาะสำหรับนักลงทุนในสนใจลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน แต่มีเงินลงทุนน้อย และคาดหวังผลตอบแทนใก้ลเคียงกับตลาด เพราะราคาสะท้อนหุ้นพลังงาน นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการป้องกันความเสี่ยงได้ด้วย โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน"

สำหรับราคาในช่วงนี้ "กำพล" กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ราคาหุ้นพลังงานปรับตัวลงค่อนข้างเยอะ ซึ่งสะท้อนข่าวผลประกอบการไปบ้างแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมาราคาพลังงาน เป็นราคาที่ใกล้เคียงความเป็นจริงแล้ว แต่ยังต้องรอดูทิศทางว่าหลังจากนี้ จะมีดีมานด์เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาผันผวนไปตามช่วงเวลา

ส่วนช่วงนี้จะลงทุนได้หรือไม่ ต้องบอกว่า ในช่วงระยะสั้นๆนี้ ต้องระวัง แต่ถ้าคิดว่าเป็นการลงทุนเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป แนะนำให้ลงทุนได้ เพราะราคาปรับตัวลง ส่วนจะต่ำลงกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งลบและบวก แต่ถ้ามอง 1 ปี ถือว่าราคาถูกแล้ว ที่สำคัญ หากจะลงทุนในช่วงนี้ อย่ากู้ยืมเงินเพื่อมาลงทุนเด็ดขาด แม้ดอกเบี้ยจะลดลงแล้ว แต่ความเสี่ยงจากความผันผวนยัวงมีอยู่ ดังนั้น การลงทุนด้วยเงินเย็น 1-2 ปี น่าจะเหมาะสมที่สุด

สำหรับกองทุนเปิด MTrack Energy ETF มีนโยบายที่จะพยายามลงทุนในหุ้นเต็มอัตรา (fully invested) โดยอาจเลือกใช้วิธี Full Replication หรือ Optimization และจะใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (Passive Management Strategy) เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนีหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (SET Energy & Utilities Index) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

โดยราคาซื้อขายล่าสุด วานนี้เช่นกัน ปิดตลาดลดลงมาอยู่ที่ 2.54 จุด เปลี่ยนแปลง -0.06 หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง 2.31% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของหุ้นพลังงานในตลาด ที่วานนี้ ปรับลดลงกันถ้วนหน้า

สมจินต์ ศรไพศาล
กำพล อัศวกุลชัย
กำลังโหลดความคิดเห็น