คอลัมน์ Desire your Live by mutual Fund
มีผู้ลงทุนตั้งคำถามเข้ามามากว่า “ในช่วงดอกเบี้ยขาลงอย่างในปัจจุบันจะลงทุนในอะไรดีที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก” แต่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารหรือการลงทุนในกองทุนคุ้มครองเงินต้น ที่ลงทุนในตั๋วเงินคลัง ที่นับวันอัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงและต่ำลง และโดยเฉพาะสำหรับผู้ลงทุนที่เคยชินกับการลงทุนด้วยการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนไม่ว่าจำนวนเงินฝากจะมากเท่าใดก็ตามอย่างไรก็ตามในอนาคต หลังจากวันที่ 11 สิงหาคม 2555 ความคุ้มครองเงินฝากธนาคารจะเหลือเพียง 1 ล้านบาท ต่อบัญชีต่อธนาคาร ดังนั้นการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ในอนาคตจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ผู้ลงทุนจึงควรเริ่มทำความคุ้นเคยและศึกษาข้อมูลทางการเงินของธนาคารพาณิชย์และ/หรือบริษัทต่างๆ ที่เราจะไปลงทุนเพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญในการตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนในประเทศไทยเราก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุน หากผู้ลงทุนยังรู้สึกไม่เคยชินกับการลงทุนตราสารประเภทนี้ก็เลือกลงทุนในตราสารระยะสั้นๆ ไปก่อน เนื่องจากตราสารระยะสั้นจะมีความผันผวนด้านราคาน้อยกว่าตราสารระยะยาว และช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ควรเน้นลงทุนในบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี
การวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินหรือตราสารหนี้ของบริษัท สิ่งที่ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญคือความสามารถและความเต็มใจของบริษัทในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยภายในเวลาที่กำหนด พิจารณาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปัจจุบันและในอนาคต คู่แข่งขันทางธุรกิจ อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนสภาพคล่อง เป็นต้น
มาถึงจุดนี้ผู้ลงทุนอาจมองว่ายากเหลือเกิน และหากไม่ศึกษาหาข้อมูลให้ดี ก็อาจจะไม่ได้เงินคืนกลับมาเต็มจำนวนที่ลงทุนก็ได้ อย่างไรก็ตามยังมีวิธีการหาข้อมูลจาก บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 2 แห่งคือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และบริษัท FITCH (Thailand) ซึ่งในฐานะบริษัทผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัททั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยอันดับเครดิตที่ได้รับ จะเป็นตัวสะท้อนความเสี่ยงของบริษัท และยังมีการวิเคราะห์แนวโน้มของบริษัทในอนาคตด้วย โดยอันดับความน่าเชื่อถือจะมีการเปลี่ยนแปลงได้หากข้อมูลของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลต่างเหล่านี้ที่ได้จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะช่วยผู้ลงทุนได้มากทีเดียว ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการหาข้อมูลจากบริษัทที่ต้องการลงทุนเองก็สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จาก website ของแต่ละบริษัท และหรือหาข้อมูลได้จาก www.sec.or.th ซึ่งทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทต่างๆ ที่มีการออกตราสาร
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ของต่างประเทศในช่วงนี้นั้น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่มยุโรปหรือในอเมริกาก็ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำมากเช่นกัน (พันธบัตรรัฐบาลของอเมริกาอายุ 2ปี ตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 1%) ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในต่างประเทศจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากวิกฤตทางการเงินในครั้งนี้เกิดจากปัญหาในเรื่องสินเชื่อ (Subpirme) เป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ตราสารหนี้ภาคเอกชนของประเทศต่างๆเหล่านี้มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก
ถึงตรงนี้อาจจะมีผู้ลงทุนหลายท่านมีคำถามขึ้นมาในใจว่า โอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น มาจากความเสี่ยงของการไม่สามารถชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ใช่หรือไม่ คำตอบคือใช่แต่ไม่ทั้งหมด เนื่องจากบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจริงๆ คือกลุ่มสถาบันการเงินที่มีการลงทุนในตราสารพวก Subprime loan แต่สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอื่นๆ นั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการตั้งสำรองหนี้เสียเหมือนพวกสถาบันการเงินที่ลงทุนในตราสารเหล่านั้น แต่เนื่องจากความตื่นตระหนกตกใจของเหล่าผู้ลงทุนรวมถึงการขาดความเชื่อมั่น จึงทำให้มีการเทขายตราสารที่มิได้รับผลกระทบโดยตรงเหล่านี้ออกมา ทำให้ราคาของตราสารเหล่านี้มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
ดังนั้นสำหรับผู้ลงทุนที่มีความเข้าใจในการลงทุนในตราสารหนี้เป็นอย่างดี ก็สามารถอาศัยจังหวะในช่วงนี้เฟ้นหาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในรอบนี้ไม่มากนัก และเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทนั้นๆเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือการฝากเงิน เพราะว่าการลงทุนในตราสารหนี้นั้นเราจะพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ดังนั้นถึงแม้ว่าบริษัทที่เราจะไปลงทุนมีแนวโน้มกำไรที่ลดลง แต่ว่ายังมีกำไรอยู่นั้น ผู้ลงทุนก็สามารถพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทนั้นได้ (โดยต้องพิจารณาถึงอันดับความน่าเชื่อถือ, อัตราส่วนทางการเงิน และกระแสเงินสดประกอบด้วย)
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคงในภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในต่างประเทศ ที่มีอายุไม่ยาวจนเกินไป (1-2 ปี) และเป็นบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง (A ขึ้นไป ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ โดย S&P Rating) โดยอาจจะเป็นธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน หรือถ้าจะเป็นสถาบันการเงินก็เลือกสถาบันการเงินที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ในประเทศไอร์แลนด์ รัฐบาลได้ออกมาค้ำประกันตราสารหนี้ของธนาคารในประเทศ 5 แห่ง เป็นเวลา 2 ปี เป็นต้น ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
แต่ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนในต่างประเทศนั้นต้องมีเรื่องของค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับท่านที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงในเรื่องของค่าเงิน ก็อย่าลืมสอบถามข้อมูลก่อนการลงทุนว่า การลงทุนของท่านมีการทำการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินไว้หรือไม่ และมีการป้องกันไว้เต็มจำนวนตลอดระยเวลาการลงทุนหรือไม่
การลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ น่าจะเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน หรือการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจต้องพิจารณาเรื่องของความเสี่ยงที่จะเข้ามาเกี่ยวของในเรื่องของความสามารถในการชำระคืน ระยะเวลาในการชำระคืน และเรื่องของค่าเงินสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ หรือท่านผู้ลงทุนอาจจะลองมองหากองทุนรวมที่มีการลงทุนลักษณะตามที่ท่านต้องการลงทุนก็ได้ เพราะว่าการมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้พิจารณาเลือกบริษัทที่จะลงทุนและคอยติดตามผลการดำเนินงานให้ รวมถึงเฝ้าระวังดูความสามารถในการชำระหนี้ให้ด้วยนั้นก็จะทำให้ท่านผู้ลงทุนสามารถอุ่นใจเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง
มีผู้ลงทุนตั้งคำถามเข้ามามากว่า “ในช่วงดอกเบี้ยขาลงอย่างในปัจจุบันจะลงทุนในอะไรดีที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก” แต่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารหรือการลงทุนในกองทุนคุ้มครองเงินต้น ที่ลงทุนในตั๋วเงินคลัง ที่นับวันอัตราดอกเบี้ยจะต่ำลงและต่ำลง และโดยเฉพาะสำหรับผู้ลงทุนที่เคยชินกับการลงทุนด้วยการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนไม่ว่าจำนวนเงินฝากจะมากเท่าใดก็ตามอย่างไรก็ตามในอนาคต หลังจากวันที่ 11 สิงหาคม 2555 ความคุ้มครองเงินฝากธนาคารจะเหลือเพียง 1 ล้านบาท ต่อบัญชีต่อธนาคาร ดังนั้นการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ในอนาคตจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน ผู้ลงทุนจึงควรเริ่มทำความคุ้นเคยและศึกษาข้อมูลทางการเงินของธนาคารพาณิชย์และ/หรือบริษัทต่างๆ ที่เราจะไปลงทุนเพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญในการตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนในประเทศไทยเราก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุน หากผู้ลงทุนยังรู้สึกไม่เคยชินกับการลงทุนตราสารประเภทนี้ก็เลือกลงทุนในตราสารระยะสั้นๆ ไปก่อน เนื่องจากตราสารระยะสั้นจะมีความผันผวนด้านราคาน้อยกว่าตราสารระยะยาว และช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ควรเน้นลงทุนในบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี
การวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินหรือตราสารหนี้ของบริษัท สิ่งที่ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญคือความสามารถและความเต็มใจของบริษัทในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยภายในเวลาที่กำหนด พิจารณาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปัจจุบันและในอนาคต คู่แข่งขันทางธุรกิจ อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ เช่น อัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนสภาพคล่อง เป็นต้น
มาถึงจุดนี้ผู้ลงทุนอาจมองว่ายากเหลือเกิน และหากไม่ศึกษาหาข้อมูลให้ดี ก็อาจจะไม่ได้เงินคืนกลับมาเต็มจำนวนที่ลงทุนก็ได้ อย่างไรก็ตามยังมีวิธีการหาข้อมูลจาก บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 2 แห่งคือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และบริษัท FITCH (Thailand) ซึ่งในฐานะบริษัทผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัททั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยอันดับเครดิตที่ได้รับ จะเป็นตัวสะท้อนความเสี่ยงของบริษัท และยังมีการวิเคราะห์แนวโน้มของบริษัทในอนาคตด้วย โดยอันดับความน่าเชื่อถือจะมีการเปลี่ยนแปลงได้หากข้อมูลของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลต่างเหล่านี้ที่ได้จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะช่วยผู้ลงทุนได้มากทีเดียว ส่วนผู้ลงทุนที่ต้องการหาข้อมูลจากบริษัทที่ต้องการลงทุนเองก็สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จาก website ของแต่ละบริษัท และหรือหาข้อมูลได้จาก www.sec.or.th ซึ่งทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทต่างๆ ที่มีการออกตราสาร
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ของต่างประเทศในช่วงนี้นั้น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่มยุโรปหรือในอเมริกาก็ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำมากเช่นกัน (พันธบัตรรัฐบาลของอเมริกาอายุ 2ปี ตอนนี้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 1%) ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในต่างประเทศจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากวิกฤตทางการเงินในครั้งนี้เกิดจากปัญหาในเรื่องสินเชื่อ (Subpirme) เป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ตราสารหนี้ภาคเอกชนของประเทศต่างๆเหล่านี้มีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก
ถึงตรงนี้อาจจะมีผู้ลงทุนหลายท่านมีคำถามขึ้นมาในใจว่า โอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น มาจากความเสี่ยงของการไม่สามารถชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ใช่หรือไม่ คำตอบคือใช่แต่ไม่ทั้งหมด เนื่องจากบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจริงๆ คือกลุ่มสถาบันการเงินที่มีการลงทุนในตราสารพวก Subprime loan แต่สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอื่นๆ นั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการตั้งสำรองหนี้เสียเหมือนพวกสถาบันการเงินที่ลงทุนในตราสารเหล่านั้น แต่เนื่องจากความตื่นตระหนกตกใจของเหล่าผู้ลงทุนรวมถึงการขาดความเชื่อมั่น จึงทำให้มีการเทขายตราสารที่มิได้รับผลกระทบโดยตรงเหล่านี้ออกมา ทำให้ราคาของตราสารเหล่านี้มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
ดังนั้นสำหรับผู้ลงทุนที่มีความเข้าใจในการลงทุนในตราสารหนี้เป็นอย่างดี ก็สามารถอาศัยจังหวะในช่วงนี้เฟ้นหาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในรอบนี้ไม่มากนัก และเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทนั้นๆเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือการฝากเงิน เพราะว่าการลงทุนในตราสารหนี้นั้นเราจะพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ดังนั้นถึงแม้ว่าบริษัทที่เราจะไปลงทุนมีแนวโน้มกำไรที่ลดลง แต่ว่ายังมีกำไรอยู่นั้น ผู้ลงทุนก็สามารถพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทนั้นได้ (โดยต้องพิจารณาถึงอันดับความน่าเชื่อถือ, อัตราส่วนทางการเงิน และกระแสเงินสดประกอบด้วย)
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคงในภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในต่างประเทศ ที่มีอายุไม่ยาวจนเกินไป (1-2 ปี) และเป็นบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสูง (A ขึ้นไป ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ โดย S&P Rating) โดยอาจจะเป็นธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน หรือถ้าจะเป็นสถาบันการเงินก็เลือกสถาบันการเงินที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น ในประเทศไอร์แลนด์ รัฐบาลได้ออกมาค้ำประกันตราสารหนี้ของธนาคารในประเทศ 5 แห่ง เป็นเวลา 2 ปี เป็นต้น ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
แต่ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนในต่างประเทศนั้นต้องมีเรื่องของค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับท่านที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงในเรื่องของค่าเงิน ก็อย่าลืมสอบถามข้อมูลก่อนการลงทุนว่า การลงทุนของท่านมีการทำการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินไว้หรือไม่ และมีการป้องกันไว้เต็มจำนวนตลอดระยเวลาการลงทุนหรือไม่
การลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ น่าจะเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน หรือการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจต้องพิจารณาเรื่องของความเสี่ยงที่จะเข้ามาเกี่ยวของในเรื่องของความสามารถในการชำระคืน ระยะเวลาในการชำระคืน และเรื่องของค่าเงินสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ หรือท่านผู้ลงทุนอาจจะลองมองหากองทุนรวมที่มีการลงทุนลักษณะตามที่ท่านต้องการลงทุนก็ได้ เพราะว่าการมีผู้จัดการกองทุนเป็นผู้พิจารณาเลือกบริษัทที่จะลงทุนและคอยติดตามผลการดำเนินงานให้ รวมถึงเฝ้าระวังดูความสามารถในการชำระหนี้ให้ด้วยนั้นก็จะทำให้ท่านผู้ลงทุนสามารถอุ่นใจเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง