บลจ.กสิกรไทย แจงผู้ถือหน่วยปรับนโยบาย 2 กองทุนผสมแบบสัดส่วน เพิ่มเงื่อนไขยกเว้นการคงสัดส่วนหุ้นเกินร้อยละ 65 ได้ภายใน 30 วัน หวังรอดูสถาการณ์ตลาดหุ้นก่อนตัดสินใจ จากเดิมต้องทำการปรับพอร์ตทันทีเมื่อสัดส่วนไม่ตรงตามนโยบาย
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิดรวงข้าวดุลทรัพย์และกองทุนเปิดรวงข้าวทุนวิภาค ซึ่งขณะนี้บริษัทได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ให้แก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมดังกล่าวในหัวข้อ “นโยบายการลงทุนการเลิกโครงการจัดการกองทุนรวม การดำเนินการของบริษัทจัดการ เมื่อเลิกโครงการจัดการกองทุนรวม” โดยการแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่3กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไป
สำหรับกองทุนทั้ง 2 กองดังกล่าวเป็นกองทุนรวมผสมแบบสัดส่วน ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารแห่งหนี้ และหรือเงินฝาก รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก.ล.ต. โดยกองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุน ขณะใดขณะหนึ่งน้อยกว่าร้อยละ 65 แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ35 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ การแก้ไขนโยบายการลงทุนจะอยู่ในเรื่องของการดำรงสัดส่วนในตราสารทุน โดยจากเดิมจะเว้นไว้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ และบริษัทจัดการแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ทราบ กองทุนอาจไม่ดำรงอัตราส่วนการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนดังกล่าวได้ เพื่อเป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงและรักษาผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยเหตุการณ์ที่จะได้รับยกเว้นประกอบด้วย 1 วิกฤตการทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 2 ภาวะสงคราม และ 3 ราคาตลาดของหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ใกล้กับวันสิ้นรอบปีบัญชี เป็นเหตุให้บริษัทจัดการไม่สามารถปรับการลงทุนได้ทันก่อนสิ้นปีบัญชี
ส่วนที่แก้ไขเพิ่มขึ้นมาได้ แก่ ข้อที่ 4 อัตราส่วนของการลงทุนในตราสารแห่งทุนตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 65 ขึ้นไปของมูลค่าทรัยพ์สินสุทธิของกองทุน โดยมิได้เกิดจากการจำหน่าย จ่ายโอนตราสารทุนที่กองทุนถืออยู่บริษัทจัดการจะดำเนินการแก้ไขอัตราส่วนให้เป็นไปตามกำหนดข้างต้นภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่ปรากฏเหตุดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนในปัจจุบัน ซึ่งเดิมหากสัดส่วนมีการเปลี่ยนแปลง กองทุนจะต้องมีการปรับสัดส่วนให้ตรงตามนโยบายทันที แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายในครั้งนี้จะทำให้สามารถรอดูสถาการณ์ได้อีกประมาณ 30 วัน โดยที่ผ่านมาความผันผวนของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 3 วันเท่านั้น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น การปรับนโยบายน่าจะอยู่ในส่วนตราสารทุนที่เกินร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเท่านั้น แต่ในส่วนที่กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 35 นั้นมิได้มีการระบุหรือแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด
สำหรับ กองทุนเปิดรวงข้าวดุลทรัพย์ มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 221,283,493.56 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 9.3394 บาทต่อหน่วย ส่วนกองทุนเปิดรวงข้าวทุนวิภาค มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 81,622,704.31 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 5.0674 บาทต่อหน่วย
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้จัดตั้งและจัดการกองทุนเปิดรวงข้าวดุลทรัพย์และกองทุนเปิดรวงข้าวทุนวิภาค ซึ่งขณะนี้บริษัทได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ให้แก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมดังกล่าวในหัวข้อ “นโยบายการลงทุนการเลิกโครงการจัดการกองทุนรวม การดำเนินการของบริษัทจัดการ เมื่อเลิกโครงการจัดการกองทุนรวม” โดยการแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่3กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไป
สำหรับกองทุนทั้ง 2 กองดังกล่าวเป็นกองทุนรวมผสมแบบสัดส่วน ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารแห่งหนี้ และหรือเงินฝาก รวมทั้งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ก.ล.ต. โดยกองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุน ขณะใดขณะหนึ่งน้อยกว่าร้อยละ 65 แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ35 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ทั้งนี้ การแก้ไขนโยบายการลงทุนจะอยู่ในเรื่องของการดำรงสัดส่วนในตราสารทุน โดยจากเดิมจะเว้นไว้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ และบริษัทจัดการแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ทราบ กองทุนอาจไม่ดำรงอัตราส่วนการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งทุนดังกล่าวได้ เพื่อเป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงและรักษาผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุน
โดยเหตุการณ์ที่จะได้รับยกเว้นประกอบด้วย 1 วิกฤตการทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 2 ภาวะสงคราม และ 3 ราคาตลาดของหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ใกล้กับวันสิ้นรอบปีบัญชี เป็นเหตุให้บริษัทจัดการไม่สามารถปรับการลงทุนได้ทันก่อนสิ้นปีบัญชี
ส่วนที่แก้ไขเพิ่มขึ้นมาได้ แก่ ข้อที่ 4 อัตราส่วนของการลงทุนในตราสารแห่งทุนตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 65 ขึ้นไปของมูลค่าทรัยพ์สินสุทธิของกองทุน โดยมิได้เกิดจากการจำหน่าย จ่ายโอนตราสารทุนที่กองทุนถืออยู่บริษัทจัดการจะดำเนินการแก้ไขอัตราส่วนให้เป็นไปตามกำหนดข้างต้นภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่ปรากฏเหตุดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทุนในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนในปัจจุบัน ซึ่งเดิมหากสัดส่วนมีการเปลี่ยนแปลง กองทุนจะต้องมีการปรับสัดส่วนให้ตรงตามนโยบายทันที แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายในครั้งนี้จะทำให้สามารถรอดูสถาการณ์ได้อีกประมาณ 30 วัน โดยที่ผ่านมาความผันผวนของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 3 วันเท่านั้น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น การปรับนโยบายน่าจะอยู่ในส่วนตราสารทุนที่เกินร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเท่านั้น แต่ในส่วนที่กำหนดไว้ว่าจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 35 นั้นมิได้มีการระบุหรือแก้ไขเพิ่มเติมแต่อย่างใด
สำหรับ กองทุนเปิดรวงข้าวดุลทรัพย์ มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 221,283,493.56 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 9.3394 บาทต่อหน่วย ส่วนกองทุนเปิดรวงข้าวทุนวิภาค มีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 81,622,704.31 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 5.0674 บาทต่อหน่วย
