กองทุนส่วนบุคคลเดือนพ.ย. เงินหายไปอีกกว่า 3 พันล้านบาท "ไอเอ็นจี" อ่วมสุด วูบไปเฉียดหมื่นล้าน ในขณะที่ "กสิกรไทย" ตีปีก รั่งแชมป์ด้วยสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอีก 6 พันล้าน ล่าสุด พบการโยกเม็ดเงินให้บลจ.รายใหม่บริหารพอร์ต หวังลดความเสี่ยง พร้อมตอบโจทย์ช่วงการลงทุนผันผวน หลังนักลงทุนขยาดผลการดำเนินงานขาดทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่บรรยากาศการลงทุนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากปัจจัยทางด้านความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การลงทุนแทบจะทุกประเภท ไม่คึกคักเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนตรงให้หุ้น ตราสารหนี้ การลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวม และรวมถึงกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวตฟันด์) ด้วย
โดยรายงานล่าสุดของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ระบุว่า เงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลในเดือนพฤศจิกายน 2551 นั้น ยังคงเห็นเม็ดเงินลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งตัวเลข ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พบว่า กองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 166,689.44 ล้านบาท ลดลงเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,404.86 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% จากเงินลงทุนในเดือนตุลาคมจำนวน 170,094.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการสำรวจเงินลงทุนของบริษัทจัดการทั้งระบบ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด มีเงินลงทุนลดลงมากที่สุด โดยคิดเป็นจำนวนที่ลดลงถึง 9,877.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 40.53% ของเงินลงทุนทั้งหมด จากเงินลงทุนรวม 24,371.32 ล้านบาท ในเดือนก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ 14,493.48 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน
ส่วนบลจ.ทิสโก้ มีจำนวนเงินลงทุนรวมลดลงเป็นอันดับ 2 จากสินทรัพย์รวม 29,616.58 ล้านบาท มาอยู่ที่ 22,933.97 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลงประมาณ 6,682.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการลดลงทั้งสิ้น 22.56% ตามมาด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่สินทรัพย์ลดลงถึง 37.51% คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนที่ลดลงรวม 3,698.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 6,162.43 ล้านบาทจาก 9,860.72 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน บลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับกองทุนส่วนบุคคลสูงสุดในปัจจุบัน เป็นบริษัทจัดการที่มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 6,180.74 ล้านบาท ทำให้สินทรัพย์รวมมาอยู่ที่ 38,006.05 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 31,825.31 ล้านบาทในเดือนก่อนหน้านี้ ต่อด้วยบลจ.วรรณ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 26,187.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5,918.34 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 20,269.59 ล้านบาท ส่วนบลจ.เอ็มเอฟซี มีจำนวนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้วยสินทรัพย์รวม 24,984.13 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4,426.83 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 20,557.30 ล้านบาท
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากตัวเลขเงินลงทุนของบริษัทจัดการแต่ละแห่ง จะพบว่า สัดส่วนการเพิ่มขึ้นและการลดลงสอดคล้องกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนมีการสับเปลี่ยนผู้บริหารกองทุน ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ประสบกับภาวะขาดทุนกันถ้วนหน้า ทำให้นักลงทุนเองต้องมองหาผู้บริหารรายใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนในช่วงที่การลงทุนผันผวนได้ ส่วนเงินลงทุนทั้งระบบที่ลดลงไปประมาณ 3,404.86 ล้านบาท สาเหตุหลักน่าจะมาจากดัชนีหุ้นไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าของเงินลงทุนลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบเงินลงทุนทั้งหมดในช่วง 11 เดือนของปี 2551 กับตัวเลขเงินลงทุนเมื่อปลายปี 2550 พบว่า เงินลงทุนทั้งระบบลดลงถึง 8,791.27 จากเงินลงทุนจำนวน 175,480.71 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2550 มาอยู่ที่ 166,689.44 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่บรรยากาศการลงทุนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากปัจจัยทางด้านความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การลงทุนแทบจะทุกประเภท ไม่คึกคักเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนตรงให้หุ้น ตราสารหนี้ การลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวม และรวมถึงกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวตฟันด์) ด้วย
โดยรายงานล่าสุดของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ระบุว่า เงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลในเดือนพฤศจิกายน 2551 นั้น ยังคงเห็นเม็ดเงินลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งตัวเลข ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 พบว่า กองทุนส่วนบุคคลทั้งระบบ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 166,689.44 ล้านบาท ลดลงเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,404.86 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% จากเงินลงทุนในเดือนตุลาคมจำนวน 170,094.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการสำรวจเงินลงทุนของบริษัทจัดการทั้งระบบ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด มีเงินลงทุนลดลงมากที่สุด โดยคิดเป็นจำนวนที่ลดลงถึง 9,877.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 40.53% ของเงินลงทุนทั้งหมด จากเงินลงทุนรวม 24,371.32 ล้านบาท ในเดือนก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ 14,493.48 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน
ส่วนบลจ.ทิสโก้ มีจำนวนเงินลงทุนรวมลดลงเป็นอันดับ 2 จากสินทรัพย์รวม 29,616.58 ล้านบาท มาอยู่ที่ 22,933.97 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลงประมาณ 6,682.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการลดลงทั้งสิ้น 22.56% ตามมาด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่สินทรัพย์ลดลงถึง 37.51% คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนที่ลดลงรวม 3,698.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 6,162.43 ล้านบาทจาก 9,860.72 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน บลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับกองทุนส่วนบุคคลสูงสุดในปัจจุบัน เป็นบริษัทจัดการที่มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 6,180.74 ล้านบาท ทำให้สินทรัพย์รวมมาอยู่ที่ 38,006.05 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 31,825.31 ล้านบาทในเดือนก่อนหน้านี้ ต่อด้วยบลจ.วรรณ มีเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 26,187.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5,918.34 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 20,269.59 ล้านบาท ส่วนบลจ.เอ็มเอฟซี มีจำนวนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้วยสินทรัพย์รวม 24,984.13 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 4,426.83 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 20,557.30 ล้านบาท
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากตัวเลขเงินลงทุนของบริษัทจัดการแต่ละแห่ง จะพบว่า สัดส่วนการเพิ่มขึ้นและการลดลงสอดคล้องกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนมีการสับเปลี่ยนผู้บริหารกองทุน ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ประสบกับภาวะขาดทุนกันถ้วนหน้า ทำให้นักลงทุนเองต้องมองหาผู้บริหารรายใหม่ที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนในช่วงที่การลงทุนผันผวนได้ ส่วนเงินลงทุนทั้งระบบที่ลดลงไปประมาณ 3,404.86 ล้านบาท สาเหตุหลักน่าจะมาจากดัชนีหุ้นไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าของเงินลงทุนลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบเงินลงทุนทั้งหมดในช่วง 11 เดือนของปี 2551 กับตัวเลขเงินลงทุนเมื่อปลายปี 2550 พบว่า เงินลงทุนทั้งระบบลดลงถึง 8,791.27 จากเงินลงทุนจำนวน 175,480.71 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2550 มาอยู่ที่ 166,689.44 ล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2551
