ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.บัวหลวง เข็น "บัวหลวงธนรัฐ 3/09" เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลภายในประเทศ ชูยิลด์ประมาณการ 1.3% ต่อปี เสนอขายช่วง IPO ถึง 11 กุมภาพันธ์นี้ เผยยอดขาย 2 กองทุนก่อนหน้านี้ กระแสตอบรับดี ระดมทุนรวมกันกว่า 1,176 ล้านบาท
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเสนอขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 3/09 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐ โดยจะเริ่มเปิดขายไอพีโอระหว่างวันที่ 3 - 11 กุมภาพันธ์ 2552 และคาดการณ์ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 1.3% ต่อปี โดยกองทุนเหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคงสูง และความเสี่ยงต่ำ โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น และเงินส่วนนี้จะต้องอยู่ในกองทุนเป็นระยะเวลาเท่ากับอายุกองทุน โดยลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยหรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังหรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นด้วยการทำธุรกรรมการซื้อตราสารแห่งหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวตามวันที่กำหนดในสัญญา แต่จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives ) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง ( Structured Note ) ซึ่งกองทุนดังกล่าว
"กองทุนดังกล่าวถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการนำเงินไปฝากยังธนาคาร อีกทั้งกองทุนรวมในซีรีส์บัวหลวงธนรัฐ ทุก ๆ กองทุนที่บริษัทออกมาเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น โดยกำหนดระยะเวลาการลงทุน 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งกองทุนรวมธนรัฐของบริษัทต่างได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอด" นายวศิน กล่าว
ก่อนหน้านี้ บลจ.บัวหลวง ได้เปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 1/09 และบัวหลวงธนรัฐ 2/09 ที่เปิดไปเมื่อวันที่ 5 – 12 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีขนาดกองทุนรวมกันที่ 10,000 ล้านบาท ให้ผลตอบแทนประมาณอยู่ที่ 1.6%ต่อปี ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยในส่วนของกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 1/09 สามารถระดมทุนได้ 821 ล้านบาท ส่วนกองทุนกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/09 ระดมทุนได้ 355 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามา จะเป็นนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนที่เป็นฐานลูกค้าเดิมของทางธนาคารกรุงเทพ (แบงก์แม่) รวมถึงนักลงทุนของบลจ. บัวหลวงเองด้วย
นายวศินกล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ เดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น และคาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมีกองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ในประเทศอยู่แล้ว แต่แตกต่างจากกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ เพราะกองทุนเปิดบัวหลวงธนทวีมีการลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชนรวมอยู่ด้วย และยังมีผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ ประมาณ 3.03% ต่อปี เมื่อเทียบกับอัตราเงินฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ 2.56% จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่นักลงทุนที่ต้งการลงทุนในตราสารหนี้
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเสนอขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 3/09 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐ โดยจะเริ่มเปิดขายไอพีโอระหว่างวันที่ 3 - 11 กุมภาพันธ์ 2552 และคาดการณ์ผลตอบแทนประมาณการอยู่ที่ 1.3% ต่อปี โดยกองทุนเหมาะสมกับเงินลงทุนส่วนที่ต้องการความมั่นคงสูง และความเสี่ยงต่ำ โดยไม่ต้องไปลงทุนในหุ้น และเงินส่วนนี้จะต้องอยู่ในกองทุนเป็นระยะเวลาเท่ากับอายุกองทุน โดยลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ที่ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วยลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยหรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลังหรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นด้วยการทำธุรกรรมการซื้อตราสารแห่งหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวตามวันที่กำหนดในสัญญา แต่จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( Derivatives ) และตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง ( Structured Note ) ซึ่งกองทุนดังกล่าว
"กองทุนดังกล่าวถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการนำเงินไปฝากยังธนาคาร อีกทั้งกองทุนรวมในซีรีส์บัวหลวงธนรัฐ ทุก ๆ กองทุนที่บริษัทออกมาเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น โดยกำหนดระยะเวลาการลงทุน 6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งกองทุนรวมธนรัฐของบริษัทต่างได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องมาตลอด" นายวศิน กล่าว
ก่อนหน้านี้ บลจ.บัวหลวง ได้เปิดขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 1/09 และบัวหลวงธนรัฐ 2/09 ที่เปิดไปเมื่อวันที่ 5 – 12 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีขนาดกองทุนรวมกันที่ 10,000 ล้านบาท ให้ผลตอบแทนประมาณอยู่ที่ 1.6%ต่อปี ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยในส่วนของกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 1/09 สามารถระดมทุนได้ 821 ล้านบาท ส่วนกองทุนกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/09 ระดมทุนได้ 355 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามา จะเป็นนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนที่เป็นฐานลูกค้าเดิมของทางธนาคารกรุงเทพ (แบงก์แม่) รวมถึงนักลงทุนของบลจ. บัวหลวงเองด้วย
นายวศินกล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ เดือน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น และคาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมีกองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ในประเทศอยู่แล้ว แต่แตกต่างจากกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ เพราะกองทุนเปิดบัวหลวงธนทวีมีการลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชนรวมอยู่ด้วย และยังมีผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ ประมาณ 3.03% ต่อปี เมื่อเทียบกับอัตราเงินฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ 2.56% จึงถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แก่นักลงทุนที่ต้งการลงทุนในตราสารหนี้
