xs
xsm
sm
md
lg

2กองอสังหาฯมูลค่าทรัพย์สินเพิ่ม ลักซ์ชัวรี่จ่ายปันผล0.36สต./หน่วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทุนรวมอสังหาฯ FUTUREPF และ MJLF แจ้งตลาดหลักทรัพย์มูลค่าทรัพย์สินขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการประเมินราคาใหม่ ขณะที่QHPFปรับตัวลดลง ด้าน“ลักซ์ชัวรี่”เตรียมจ่ายปันผล 0.36 สตางค์/หน่วย 27กุมภาพันธ์นี้

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ระบุว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) ได้ชี้แจงรายละเอียดสินทรัพย์ของกองทุนให้รับทราบว่า ในปี 2551 บริษัท เอ็น แอนด์ เอ แอพไพรซัล จำกัด ได้ประเมินค่าทรัพย์สินของกองทุนอยู่ที่ 5,040,200,000 บาท ด้วยวิธีพิจารณาจากรายได้ (Income approach) เป็นเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคิดจากประมาณการรายได้ค่าเช่า หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569) และนำมาคำนวณหามูลค่าทรัพย์สินโดยหารด้วยอัตราส่วนลด (Discount rate) ที่ 13% ต่อปี

เช่นเดียวกับ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) ที่ชี้แจงว่าบริษัท ซี.ไอ.ที. แอพเพรซัล จำกัด ได้ประเมินราคาโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต ณสิ้นปี 2551ไว้ที่2,587.20 ล้านบาท และมูลค่าดังกล่าวจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2552 โดยจะอยู่ที่ 2,610.50 ล้านบาท ต่อมาจะปรับขึ้นเป็น 2,628.20 ล้านบาทเมื่อถึงสิ้นเดือนมิถุนายน และเพิ่มเป็น 2,645.30 ล้านบาทเมื่อถึง 30 กันยายน 2552

โดยผู้ประเมินใช้วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income approach) เป็นเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคิดจากรายได้ค่าเช่า หักด้วยค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ระยะเวลาตั้งแต่วันถัดจากวันที่กำหนดราคาประเมินทรัพย์สินในแต่ละไตรมาส ถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่า) และนำมาคำนวณหามูลค่าทรัพย์สินโดยหารด้วยอัตราส่วนลด (Discount rate) ที่ 11.5% ต่อปี (รัชโยธิน) และ 13.5% ต่อปี (รังสิต)

นอกจากนี้ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ ฮอลพิทอลลิตี้ (QHPF)ระบุว่าบริษัท ซาลแมนน์ (ฟาร์อีสท์) จำกัด ได้ประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของโครงการในวันที่ 1 ธันวาคมปีที่แล้วไว้ที่ 1,861 ล้านบาทโดยจะปรับตัวลดลงเรื่อยๆทุก 3 เดือนเป็น 1,857 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 และเป็น 1,853 ล้านบาทเมื่อถึง 30 มิ.ย. และจะเหลือ 1,849 ล้านบาทเมื่อถึงสิ้นเดือนก.ย.

ทั้งนี้ เพราะผู้ประเมินใช้วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income approach) เป็นเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยคิดจากประมาณการรายได้ค่าเช่า หักด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ (ระยะเวลาตั้งแต่วันถัดจากวันที่กำหนดราคาประเมินทรัพย์สินในแต่ละไตรมาส ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2581) และนำมาคำนวณหามูลค่าทรัพย์สินโดยหารด้วยอัตราส่วนลด (Discount rate) ที่ 12% ต่อปี

ขณะเดียวกัน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้แต่งตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยสำนักงานจัดการทรัพย์สิน เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมาแล้ว

ด้านนางสาวธิดา โชติยานนท์ ผู้มีอำนาจรายงานสารเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)ทหารไทย จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ (LUXF) เปิดเผยว่า กองทุน LUXF จะปิดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนกรรมสิทธิ์ในหน่วยลงทุน เพื่อสิทธิของผู้ถือหน่วยในการรับเงินปันผลครั้งที่ 1 ประจำปี 2552 (สำหรับรอบระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2551 ถึง 31 ธันวาคม 2551) วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 นี้ โดยกองทุนจะจ่ายเงินปันผลในอัตราละ 0.3600 บาท ต่อหน่วยลงทุน ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552
 
สำหรับ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่ เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนโยบายลงทุนโดยการซื้อกรรมสิทธิ์ (Freehold) ของโครงการซิกส์เซ้นส์ไฮด์อะเวย์ เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว ของบริษัท โรงแรมป่าเกาะ จำกัด โดยกองทุนจะได้รับประโยชน์จากการให้เช่าทรัพย์สินแก่บริษัท อีเอชวาย จำกัด ซึ่งที่ถือหุ้นโดยบจ.โรงแรมป่าเกาะ 99% เป็นระยะเวลา 3 ปี โดยจะมีการต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี หลังจากนั้นจะมีการต่อสัญญาเช่าอีกครั้งละ 3 ปี จำนวน 5 ครั้ง โดยอีเอชวายจะว่าจ้างให้เครือซิกส์เซ้นส์ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรมระดับโลกเป็นผู้บริหารโครงการ ซึ่งกองทุนจะได้รับค่าเช่าเป็น 3 ส่วนคือ ค่าเช่าอัตราคงที่ ค่าเช่าผันแปร และค่าเช่าแปรผันตามความสามารถของการบริหารงานในแต่ละปี

ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวได้มีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำในช่วง 5 ปีแรก โดยในปีที่ 1 จ่าย 6.0% ปีที่ 2 จ่าย 6.5% ปีที่ 3-5 จ่าย 7% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีนโยบายจ่ายปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง และจะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิประจำปี หรืออาจมีการจ่ายปันผลจากกำไรสะสม
กำลังโหลดความคิดเห็น