xs
xsm
sm
md
lg

ตราสารหนี้รัฐ-หุ้นกู้เอกชน ทางเลือกลงทุนช่วงดอกเบี้ยฝากติดดิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"เชื่อว่าบริษัทเอกชนที่สามารถออกหุ้นกู้ได้ยังคงมีความสามารถในการชำระคืนหนี้ในระดับที่ดี เนื่องจากหลายบริษัทมีหนี้สินอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับทุน และมีความแข็งแกร่งทางการเงินกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 มาก"

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% จาก 2.75% มาอยู่ที่ 2% ได้ไม่นาน ภาคธนาคารพาณิชย์เองก็ทยอยตอบรับทันที โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ที่ประกาศลดดอกเบี้ยทั้ง 2 ขา ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากและเงินกู้...

สำหรับเงินฝากเอง (ซึ่งเป็นอะไรที่ใกล้ตัวเราๆ ท่านๆ มากที่สุด) การปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ ยิ่งทำให้ดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินอยู่แล้ว ต่ำลงไปอีก หลายคนที่คาดหวังแค่อยากให้เงินปลอดภัย มั่งคง อาจจะไม่เดือดร้อนมากนัก แต่สำหรับใครที่มองหาผลตอบแทนสูงๆ การฝากเงินอาจจะไม่ใช่คำตอบอีกต่อไปแล้ว

แนวโน้มที่เกิดขึ้นนี่เอง ถือเป็นโอกาสดีของบริษัทจัดการกองทุน ในการนำเสนอทางเลือกการลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกหยิบขึ้นมาจัดตั้งเป็นกองทุน คือ หุ้นกู้เอกชน ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ค่อข้างสูงกว่าเงินฝาก แต่ที่ตามมาด้วย ก็คือความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน...เพื่อตอบรับความต้องการ คอลัมน์ "Mutualfund IPO" จึงถือโอกาสหยิบกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกู้เอกชน มาแนะนำกัน...

สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน ธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ. ทิสโก้ เชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีนี้จะยังเป็นขาลง ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยนโยบาย ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล จึงแนะนำว่าผู้ลงทุนควรขยายอายุของตราสารหนี้ที่จะลงทุนให้ยาวขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน บริษัทจึงได้เสนอ "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 7" ซึ่งเป็นกองตราสารหนี้ต่อเนื่องจาก "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 6" ที่เสนอขายเมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีนโยบายการลงทุนเช่นเดียวกัน นั่นคือเป็นกองตราสารหนี้ในประเทศ ที่มุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชนในประเทศที่มีคุณภาพ โดยมีระยะเวลาลงทุนประมาณ 2 ปี จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือน (Auto Redemption)

เขาให้ข้อมูลต่อว่า จากการที่เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกา ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ระดับ 2.00% ในการประชุมครั้งล่าสุด และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเป็นไปได้มากที่จะถูกปรับลดลงสู่ระดับ 1-1.5% ภายในกลางปีนี้ ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในทุกช่วงอายุปรับตัวลดลง ซึ่งปัจจุบันก็ลดลงมามากแล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 51 โดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1-2 ปี ตอนนี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.7-1.9% เท่านั้น เราจึงมองว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะปานกลางถึงระยะยาวให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าสำหรับการลงทุนอีกต่อไป ในขณะตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีเรตติ้งดี ตั้งแต่ A- ขึ้นไป มีความน่าสนใจกว่า เพราะให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม หรือ Credit spread ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ สำหรับความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของหุ้นกู้เอกชน ที่ยังคาใจนักลงทุนอยู่นั้น บลจ.ทิสโก้ ยังเชื่อว่าบริษัทเอกชนที่สามารถออกหุ้นกู้ได้ยังคงมีความสามารถในการชำระคืนหนี้ในระดับที่ดี เนื่องจากหลายบริษัทมีหนี้สินอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับทุน และมีความแข็งแกร่งทางการเงินกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 มาก ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากและพันธบัตรรัฐบาล แต่ยังไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการเล่นหุ้น แนะนำว่าควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนมากขึ้น และให้ลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะ 3-5 ปีขึ้นไปลง

ส่วนที่ บลจ. ทิสโก้ เลือกออกกองตราสารหนี้อายุ 2 ปี เนื่องจากมองว่าเป็นระยะเวลาที่ผู้ลงทุนสามารถรับได้ เพราะไม่นานจนเกินไป ผู้ลงทุนจึงควรล็อกผลตอบแทนเอาไว้ประมาณ 2 ปี ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงไปอีก เพราะเชื่อว่าเมื่อกองทุนครบอายุ ผู้ลงทุนจะได้ลงทุนต่อในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า

"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 7"กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งและจัดการกองทุนรวมจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยมีอายุโครงการประมาณ 2 ปี มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท และคาดว่าจะเสนอขายในวันที่ 23 – 30 ม.ค. 52 นี้...ผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร 02 633 6000 กด 4 ตลอด 24 ชม.

ในขณะที่บลจ.เอ็มเอฟซี เอง ก็ส่งกองทุนใหม่ออกมาขายเช่นกัน...โดยพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เอ็มเอฟซีจะเปิดขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีกาญจนทรัพย์ 3 ซีรี่ส์ 1 (MFC Karnjanasap Fund 3 Series 1) หรือ MK3S1 ในระหว่างวันที่ 21-27 มกราคมนี้ โดยกองทุนนี้ เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ อายุประมาณ 3 เดือน มูลค่า 800 ล้านบาท เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ ผู้ที่คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคาร และสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนได้ รวมทั้งสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

กองทุนเปิด MK3S1 จะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้ที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะจัดตั้งขึ้น ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ หรือธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

จุดเด่นของกองทุนเปิด MK3S1 คือกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ โดยลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ โดยเป็นการลงทุนระยะสั้นประมาณ 3 เดือน นอกจากนี้ ผลตอบแทนที่ได้รับยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากเนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับคือมูลค่าเพิ่มของการลงทุน (Capital Gain) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต้องเสียภาษี

ผู้สนใจลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 10,000 บาทเป็นต้นไป ทั้งนี้ หลังครบกำหนดอายุโครงการประมาณ 3 เดือน บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน (MM-GOV) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความมั่นคงสูง ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยตราสารมีอายุไม่เกิน 1 ปี เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตราสารหนี้อย่างต่อเนื่องของผู้ลงทุน

นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีกาญจนทรัพย์ 3 ซีรี่ส์ 1 หรือ MK3S1 ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 0-2649-2000 ติดต่อฝ่ายวางแผนการลงทุน กด 2 หรือ Contact Center กด 0 หรือที่ www.mfcfund.com

...ทั้ง 2 กองทุนนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ในการสร้างผลตอบแทนให้กับเงินลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำๆ เช่นนี้ได้ แต่อย่าลืมศึกษาข้อมูลของทั้ง 2 กองทุนให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ เพราะการลงทุนกับมีความเสี่ยง เป็นของคู่กัน
กำลังโหลดความคิดเห็น