คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
ตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้เปิดมาให้นักลงทุนหลายท่านดีใจในวันแรก โดยปรับตัวขึ้นถึง 6.39% แต่หลังจากวันนั้นก็ปรับตัวลดลงติดต่อกันจนถึงวันอังคาร (13 ม.ค.) ที่ผ่านมา ในขณะที่ค่าความผันผวนของตลาด (market volatility) ก็ได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าค่าความเสี่ยงของตลาดสูงขึ้น และอาจจะส่งผลให้นักลงทุนมีความหวาดกลัวและเทขายมากขึ้น หากมองในแง่ของมุมมองเศรษฐกิจ ภาพโดยทั่วไปก็ยังดูไม่ดีนัก โดยอัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงหรืออาจหดตัว ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่แนวโน้มที่จะออกมาไม่ดี
ในภาวการณ์ที่ตลาดมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ ท่านนักลงทุนบางท่านอาจชะลอการลงทุนหรืองดการลงทุนชั่วคราว เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน ในช่วงนี้ ท่านอาจใช้เวลาในการหาความรู้ด้านการลงทุนเพิ่มเติม และทบทวนถึงการลงทุนที่ผ่านมาว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง
การลงทุนที่ดี ท่านนักลงทุนควรเข้าใจว่า ท่านกำลังลงทุนในอะไร และการลงทุนที่ท่านมีอยู่มีความเหมาะสมกับตัวท่านหรือไม่ นอกจากนี้ ท่านนักลงทุนควรทำการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออัพเดตความเป็นไปของสถานการณ์ในช่วงต่างๆ มีคนที่ผมรู้จักหลายคน ที่ลงทุนในหุ้นโดยที่ไม่รู้ว่า P/E, P/BV, ROE คืออะไร และมีประโยชน์ในการวิเคราะห์อย่างไร บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทที่ลงทุนไปนั้น ทำธุรกิจอะไร และแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจะเป็นอย่างไร แต่ที่ลงทุนเพราะเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หรือมีคนแนะนำว่าดีและน่าลงทุน โดยอาจไม่ทราบว่าราคาที่เข้าซื้ออาจเป็นราคาที่เกินจากปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว หรือไม่ได้คิดว่าราคาอาจจะอยู่ที่จุดสูงสุดแล้วก็เป็นได้
ผมได้มีโอกาสเจอคนหลายคนที่ลงทุนแบบนี้ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 และในปัจจุบันฐานะของเขาเปลี่ยนไปมาก บางคนก็ขายลอตเตอรี่ บางคนก็ขายต้นไม้ บางคนก็ขับแท็กซี่ โดยทุกคนพูดคล้ายๆกันว่า ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เขาเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมาก และเป็นโอกาสที่เขาจะสามารถสร้างความร่ำรวยได้ในระยะเวลาอันสั้น หลายคนลาออกจากงานประจำที่เคยทำอยู่เพื่อมาเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียว เขาลงทุนโดยไม่รู้ว่ามุมมองในอนาคตจะเป็นอย่างไร เขารู้เพียงแต่ว่าหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ดี และให้ผลตอบแทนสูงเท่านั้น แต่หลังจากที่หุ้นเริ่มดิ่งลงและทางการสั่งปิดบริษัทไฟแนนซ์ไปหลายแห่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บางคนถึงขั้นหมดตัว ครั้นจะกลับไปทำงานในที่ๆเคยทำมาก่อน ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ทำงานเก่าก็มีการปรับลดพนักงานเพื่อประคองบริษัทให้อยู่รอดเช่นกัน และถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวหลังจากนั้น เขาก็ไม่สามารถที่จะกลับไปทำงานในแวดวงที่เขาเคยทำ เพราะเขาได้ห่างจากวงการมานานพอสมควร และไม่สามารถยอมรับกับรายได้ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิมมาก พอผมถามต่อว่า เหตุใดที่เขาไม่ขายหุ้นตั้งแต่ราคาเริ่มปรับตัวลดลง ส่วนใหญ่ตอบว่า เขาเข้าใจว่าหุ้นมีขึ้นมีลง พอมันลงแล้วก็น่าจะขึ้น และเขาทำใจไม่ได้ที่จะขายขาดทุนในจำนวนมากๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ถ้ามีเงินอีกจะลงทุนในหุ้นอีกหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าลง เพราะให้ผลตอบแทนดี แต่คงต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น
ที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง และเป็นข้อคิดให้เห็นว่า การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจอาจทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนไปได้ ทั้งในด้านดีและด้านร้าย สำหรับท่านที่โชคดี ท่านอาจสร้างกำไรได้มากมายจากการลงทุนตามตลาดในขาขึ้น และมีวินัยพอที่จะยอมขายขาดทุนเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด อย่างไรก็ตาม การที่ท่านนักลงทุนมีความรู้ในด้านการลงทุน อาจช่วยให้ท่านทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น (นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกล้วนเป็นผู้ที่เข้าใจการลงทุน ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็นในสาขาต่างๆ เช่น ลงทุนในหุ้น ลงทุนในกิจการเฉพาะ เป็นต้น) ในช่วงที่ตลาดยังคงอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน ท่านอาจหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนดีๆมาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งปัจจุบัน มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมากมายหลายเล่มทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ท่านได้เลือกอ่าน ท่านนักลงทุนอาจจะไปเลือกซื้อตามศูนย์หนังสือชั้นนำ หรือไปหาอ่านที่ห้องสมุดมารวยของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอยู่มากมาย ท่านนักลงทุนอาจเข้าร่วมงานสัมมนาต่างๆที่เกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งท่านจะได้มีโอกาสในการซักถามจากผู้เชี่ยวชาญ ทาง AYF เองก็มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ท่านนักลงทุนสามารถหาข้อมูลได้ที่ http://www.ayfunds.com หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-657-5757 ได้ทุกวัน (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ระหว่างเวลา 9.00 – 17.00 น.
การที่ท่านหาความรู้เพิ่มเติม และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านอาจจะพบว่า ในช่วงที่ทุกอย่างดูเลวร้ายเช่นนี้ ยังมีสิ่งดีๆที่น่าลงทุนและมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ดังเช่นที่หลายคนกล่าวไว้ว่า หลังวิกฤตมักจะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้น และผมหวังว่า ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นครับ
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมความเสี่ยง
บลจ.อยุธยา จำกัด
ตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้เปิดมาให้นักลงทุนหลายท่านดีใจในวันแรก โดยปรับตัวขึ้นถึง 6.39% แต่หลังจากวันนั้นก็ปรับตัวลดลงติดต่อกันจนถึงวันอังคาร (13 ม.ค.) ที่ผ่านมา ในขณะที่ค่าความผันผวนของตลาด (market volatility) ก็ได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าค่าความเสี่ยงของตลาดสูงขึ้น และอาจจะส่งผลให้นักลงทุนมีความหวาดกลัวและเทขายมากขึ้น หากมองในแง่ของมุมมองเศรษฐกิจ ภาพโดยทั่วไปก็ยังดูไม่ดีนัก โดยอัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงหรืออาจหดตัว ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่แนวโน้มที่จะออกมาไม่ดี
ในภาวการณ์ที่ตลาดมีความไม่แน่นอนเช่นนี้ ท่านนักลงทุนบางท่านอาจชะลอการลงทุนหรืองดการลงทุนชั่วคราว เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน ในช่วงนี้ ท่านอาจใช้เวลาในการหาความรู้ด้านการลงทุนเพิ่มเติม และทบทวนถึงการลงทุนที่ผ่านมาว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง
การลงทุนที่ดี ท่านนักลงทุนควรเข้าใจว่า ท่านกำลังลงทุนในอะไร และการลงทุนที่ท่านมีอยู่มีความเหมาะสมกับตัวท่านหรือไม่ นอกจากนี้ ท่านนักลงทุนควรทำการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออัพเดตความเป็นไปของสถานการณ์ในช่วงต่างๆ มีคนที่ผมรู้จักหลายคน ที่ลงทุนในหุ้นโดยที่ไม่รู้ว่า P/E, P/BV, ROE คืออะไร และมีประโยชน์ในการวิเคราะห์อย่างไร บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทที่ลงทุนไปนั้น ทำธุรกิจอะไร และแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจะเป็นอย่างไร แต่ที่ลงทุนเพราะเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หรือมีคนแนะนำว่าดีและน่าลงทุน โดยอาจไม่ทราบว่าราคาที่เข้าซื้ออาจเป็นราคาที่เกินจากปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว หรือไม่ได้คิดว่าราคาอาจจะอยู่ที่จุดสูงสุดแล้วก็เป็นได้
ผมได้มีโอกาสเจอคนหลายคนที่ลงทุนแบบนี้ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 และในปัจจุบันฐานะของเขาเปลี่ยนไปมาก บางคนก็ขายลอตเตอรี่ บางคนก็ขายต้นไม้ บางคนก็ขับแท็กซี่ โดยทุกคนพูดคล้ายๆกันว่า ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เขาเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมาก และเป็นโอกาสที่เขาจะสามารถสร้างความร่ำรวยได้ในระยะเวลาอันสั้น หลายคนลาออกจากงานประจำที่เคยทำอยู่เพื่อมาเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียว เขาลงทุนโดยไม่รู้ว่ามุมมองในอนาคตจะเป็นอย่างไร เขารู้เพียงแต่ว่าหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ดี และให้ผลตอบแทนสูงเท่านั้น แต่หลังจากที่หุ้นเริ่มดิ่งลงและทางการสั่งปิดบริษัทไฟแนนซ์ไปหลายแห่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บางคนถึงขั้นหมดตัว ครั้นจะกลับไปทำงานในที่ๆเคยทำมาก่อน ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ทำงานเก่าก็มีการปรับลดพนักงานเพื่อประคองบริษัทให้อยู่รอดเช่นกัน และถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวหลังจากนั้น เขาก็ไม่สามารถที่จะกลับไปทำงานในแวดวงที่เขาเคยทำ เพราะเขาได้ห่างจากวงการมานานพอสมควร และไม่สามารถยอมรับกับรายได้ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิมมาก พอผมถามต่อว่า เหตุใดที่เขาไม่ขายหุ้นตั้งแต่ราคาเริ่มปรับตัวลดลง ส่วนใหญ่ตอบว่า เขาเข้าใจว่าหุ้นมีขึ้นมีลง พอมันลงแล้วก็น่าจะขึ้น และเขาทำใจไม่ได้ที่จะขายขาดทุนในจำนวนมากๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ถ้ามีเงินอีกจะลงทุนในหุ้นอีกหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าลง เพราะให้ผลตอบแทนดี แต่คงต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น
ที่ผมยกตัวอย่างมานี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง และเป็นข้อคิดให้เห็นว่า การลงทุนโดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจอาจทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนไปได้ ทั้งในด้านดีและด้านร้าย สำหรับท่านที่โชคดี ท่านอาจสร้างกำไรได้มากมายจากการลงทุนตามตลาดในขาขึ้น และมีวินัยพอที่จะยอมขายขาดทุนเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด อย่างไรก็ตาม การที่ท่านนักลงทุนมีความรู้ในด้านการลงทุน อาจช่วยให้ท่านทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น (นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกล้วนเป็นผู้ที่เข้าใจการลงทุน ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็นในสาขาต่างๆ เช่น ลงทุนในหุ้น ลงทุนในกิจการเฉพาะ เป็นต้น) ในช่วงที่ตลาดยังคงอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน ท่านอาจหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนดีๆมาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ซึ่งปัจจุบัน มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมากมายหลายเล่มทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ท่านได้เลือกอ่าน ท่านนักลงทุนอาจจะไปเลือกซื้อตามศูนย์หนังสือชั้นนำ หรือไปหาอ่านที่ห้องสมุดมารวยของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอยู่มากมาย ท่านนักลงทุนอาจเข้าร่วมงานสัมมนาต่างๆที่เกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งท่านจะได้มีโอกาสในการซักถามจากผู้เชี่ยวชาญ ทาง AYF เองก็มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ท่านนักลงทุนสามารถหาข้อมูลได้ที่ http://www.ayfunds.com หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-657-5757 ได้ทุกวัน (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ระหว่างเวลา 9.00 – 17.00 น.
การที่ท่านหาความรู้เพิ่มเติม และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านอาจจะพบว่า ในช่วงที่ทุกอย่างดูเลวร้ายเช่นนี้ ยังมีสิ่งดีๆที่น่าลงทุนและมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้ ดังเช่นที่หลายคนกล่าวไว้ว่า หลังวิกฤตมักจะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้น และผมหวังว่า ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นครับ



