xs
xsm
sm
md
lg

SCBAMชี้ปีฉลูกองทุนแปลกขายยาก แนะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล-หุ้นกู้ชั้นดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ไทยพาณิชย์เผย แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมปีวัว เน้นขายกองทุนใกล้ตัว หวังรองรับเม็ดเงินลงทุนในกองเกาหลีใต้ที่ใกล้ครบอายุ ระบุการออกกองทุนที่ซับซ้อน เข้าใจยากขายยาก แนะนักลงทุน จัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงทั้งพันธบัตร หุ้นกูเอกชนชั้นดีเทียบเท่าอายุของตัวเอง เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ ย้ำคิดเรื่องออมเงินก่อนการลงทุน เหตุความเสี่ยงตกงานสูง
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2552 นักลงทุนที่เคยคาดหวังผลตอบแทนสูงๆ น่าจะน้อยลงไป โดยอุตสาหกรรมกองทุนรวมจะไปหาของใกล้ตัวหรือภายในประเทศมานำเสนอแทน ส่วนกองทุนใหม่ประเภทวิริศมาหรา หรือมีความซับซ้อนคงจะไม่มี แม้ว่าทุกบริษัทจะคิดได้ แต่จะขายลำบาก โดยโจทย์ที่สำคัญสำหรับธุรกิจ บลจ.คือ จะมีกองทุนต่างๆ ที่กำลังจะครบอายุค่อนข้างมาก จึงจำเป็นต้องหากองทุนอื่นมาทดแทน อาทิ ก่อนหน้านี้ นักลงทุนนิยมไปลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ เมื่อครบกำหนด จึงต้องนำเสนอสินค้าที่ไม่มีความเสี่ยงสูงเกินไป และมีความเหมาะสมกับนักลงทุน

ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบันได้ปรับลดลงมามาก แต่ยังมีตราสารหนี้บางประเภทที่สามารถให้ผลตอบแทนที่มากกว่า เช่น หุ้นกู้ภาคเอกชน แต่จากการที่ภาวะเศรษฐกิจมีการถดถอย โอกาสที่ผลประกอบการจะไม่ดีมีค่อนข้างสูง โดยจะต้องระมัดระวังให้ดี ขณะที่ตลาดหุ้น การที่สำนักวิจัยหลายสำนักออกมาฟันธงว่า ดัชนีในปีนี้จะอยู่ในระดับนั้นระดับนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครจะรู้ว่าจะอยู่ในระดับเท่าไร

ทั้งนี้ หากนักลงทุนมีเงินเย็น และสามารถรอคอยได้ โอกาสที่จะลงทุนในระยะเวลา 2 ปีขึ้นไปแล้วได้ผลตอบแทนสูงยังมี แต่หากคาดหวังว่าลงทุนแล้วไตรมาสแรกปีนี้จะกลับมาแรง ไม่แนะนำ เนื่องจากมีความเสี่ยงเกินไป ซึ่งตลาดหุ้นเป็นอะไรที่มีความผันผวนสูง โดยในปีที่ผ่านมา ดัชนีได้ปรับตัวติดลบไป 48% ซึ่งปรับลดลงมากที่สุดโดยเป็นรองเพียงปี 2541 เพียงปีเดียวเท่านั้น และทุกคนมองว่าราคาหุ้นในระดับปัจจุบันถูก แต่ว่าจะปรับขึ้นไปเมื่อไรไม่มีใครทราบ แต่ถ้ามองระยะยาวก็ยังเป็นที่น่าสนใจ

กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนนักลงทุนทั่วไปควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนดังต่อไปนี้ ควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีคุณภาพดีเท่ากับอายุของตัวเอง หากอายุยังน้อยไม่จำเป็นต้องถือมาก เนื่องจากอายุยังน้อยอยู่ และกะจะถือไว้เพื่อเกษียณ หากอายุ 30 ปี ก็ควรจะถือไว้ประมาณ 30% ซึ่งเป็นเกณฑ์อย่างง่ายๆ ขณะเดียวกัน ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละคน และเม็ดเงินลงทุนว่าเป็นเงินเย็นหรือร้อนอีกด้วย แต่หากนักลงทุนอยู่ในวัยใกล้เกษียณ หากจะเข้าไปถือหุ้นมากก็จะเป็นการเสี่ยงเกินไป และไม่เหมาะสม

ส่วนการจะดูว่าหุ้นกู้ที่ดีหรือไม่นั้น จะต้องดูเรื่องความสามารถของการชำระหนี้ กระแสเงินสดเพียงพอที่จะชำระหนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อทุน และบริษัทอยู่ในเซกเตอร์อะไร เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่าเซกเตอร์ส่งออก อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยวจะค่อนข้างเหนื่อย ซึ่งจะต้องระมัดระวังในการลงทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทุกเซกเตอร์ล้วนได้รับผลกระทบ โดยดัชนีหุ้นไทยที่ผ่านมาที่ปรับตัวลงไป 48% นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าได้รับผลกระทบทุกเซกเตอร์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว เนื่องจากปกติแล้วจะกระทบเพียงบางเซกเตอร์เท่านั้น โดยจะปรับลดลงบางตัว และปรับขึ้นบางตัว แต่ปัจจุบันได้รับผลกระทบทุกเซกเตอร์ แต่หากมองว่าเซกเตอร์ใดรับผลกระทบน้อยกว่าเซกเตอร์อื่นๆ จะได้แก่ ธุรกิจที่มีรายได้ไม่หดหายมาก แม้ว่าเศรษฐกิจแย่อย่างไรคนก็ต้องใช้ เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม อาหาร หรืออย่างในต่างประเทศเช่น ธุรกิจระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่นไฟฟ้า

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ก่อนจะคิดเรื่องลงทุนควรจะคิดเรื่องออมเงินก่อน และต้องไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่เงินเดือนจะไม่ปรับขึ้น หรือได้รับเงินโบนัส ซึ่งดีไม่ดีอาจถึงขึ้นตกงานก็ได้ โดยความไม่แน่นอนมีค่อนข้างสูง จึงควรระมัดระวังเรื่องของการไม่ใช้จ่ายเกินตัว จากนั้นจึงค่อยมาคิดเรื่องการลงทุน และต้องวัดใจว่าเงินเย็นแค่ไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น