ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.ประเมินปีหน้าตราสารหนี้ยังได้รับความสนใจมากสุด จากความเสี่ยงลงทุนที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง แม้ธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนภาพรวมอุตสหกรรมกองทุนฯมีแนวโน้มดีขึ้น หลังแบงก์เริ่มหยุดยุทธการใช้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงล่อใจลูกค้า บีบนักลงทุนมีทางเลือกน้อย ดันเม็ดเงินบางส่วนไหลกลับคืน พร้อมประเมินตลอดทั้งปีนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกมีลุ้นทำสถิติสูงถึง 12% หลัง10เดือนอยู่ที่ระดับ9.36% ดีกว่าการลงทุนในหุ้น ล่าสุดกองทุนหุ้นหลายโครงการต้องปรับลดพอร์ตหันถือเงินสดเพิ่ม หลังเจอข้อจำกัด ลงทุนได้ยาก-สภาพคล่องน้อย โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ในปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ จะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา การลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 9.36% ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกเอง ผลตอบแทนก็ปรับขึ้นเช่นกัน ทำให้เชื่อว่าทั้งปีนี้ ผลตอบแทนน่าจะสูงถึง 12% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีพันธบัตรรัฐบาล
ทั้งนี้ จากผลตอบแทนดังกล่าว จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น ประกอบกับวิกฤตการเงินไม่ได้ส่งผลต่อการลงทุนในสหรัฐหรือยุโรปเพียงเท่านั้น แต่การลงทุนทั่วโลกยังได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล เพราะเชื่อว่ายังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยอยู่
"ปีที่แล้วการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนประมาณ 30% ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทน 7% ซึ่งสูงกว่าค่อนข้างมาก แต่หลังจากเกิดวิกฤตขึ้น ส่งให้ทั้งปีนี้ การลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งการที่มีการปรับลดดอกเบี้ยด้วยแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปได้อีก"นายศุภกรกล่าว
นายศุภกรกล่าวว่า ถึงแม้การลงทุนในพันธบัตรจะดี ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ แต่การลงทุนปีนี้ถือว่ายากมาก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เราเจอปัญหาเงินเฟ้อซึ่งส่งผลไม่ดีต่อพันธบัตรรัฐบาล แต่หากพูดถึงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การลงทุนในพันธบัตรระยะยาว จะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว เชื่อว่านักลงทุนสถาบันเอง ก็จะปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยยืดอายุการลงทุนในพันธบัตรให้ยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดตรงที่ตลาดยังไม่สามารถรองรับสภาพคล่องได้ ทำให้ไม่สามารถเข้าออกได้ภายใน 1 วัน หรือในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น การปรับกลยุทธ์การลงทุนจึงต้องทำเป็นค่อยเป็นค่อยไป
กองทุนอสังหาฯยังน่าสนใจ
ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน(มันนี่มาร์เกต) รวมถึงกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอาจจะทยอยปรับลดลงบ้าง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จะทำให้การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนด้วย โดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว
โดยนักลงทุนที่จะลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องเลือกเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในสิทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดหมุดเวียน จะเป็นกองทุนที่น่าลงทุนที่สุด เพราะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลต่อกระแสเงินที่ลดลง และรายได้ที่ลดลง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องดูว่าสินทรัพย์ประเภทไหนได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยที่สุด ซึ่งหากให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% ก็ยังมองว่าลงทุนได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ผลตอบแทนก็จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 7% ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ กลุ่มที่อาจจะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าพักที่ลดลง ศูนย์การค้าก็อาจจะกระทบบ้างจากการใช้จ่ายที่ลดลง ส่วนอาคารสำนักงานเอง ก็ต้องดูว่าความต้องการใช้พื้นที่ลดลงหรือไม่ แต่หากรายได้ลดลงไม่เกิน 10% ในขณะที่กระแสเงินสดยังจ่ายได้อยู่ ก็ยังสามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นผลดีจากปัจจัยลบดังกล่าวคือ สามารถต่อรองราคาสินทรัพย์ได้มากขึ้น เพราะการที่ทุกอย่างชะลอตัวลงไปแบบนี้ ราคาของสินทรัพย์ที่จะจัดตั้งเป็นกองทุนน่าจะลดราคาลงได้เช่นกัน และถ้าเจ้าของสินทรัพย์ต้องการเงินทุน การเจรจาก็อาจจะง่ายขึ้น
กองหุ้นโดยรวมถือเงินสดเพิ่ม
นายศุภกรกล่าวต่อถึงการลงทุนในหุ้นว่า จากการที่ตลาดหุ้นปรับลดลงไปแล้วประมาณ 50% ทำให้ผู้จัดการกองทุนเอง พยายามขายหุ้นออกมาเพื่อลดสัดส่วนลงและหันมาเก็บเงินสดเอาไว้มากขึ้น โดยหุ้นที่ลดสัดส่วนลงนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตดังกล่าว ก็ไม่สามารถทำได้เร็วเช่นกัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ และทำได้จำกัด ทำให้สัดส่วนการถือเงินสดมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปีหน้า ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองก่อนล่วงหน้าในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญอาจจะต้องขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รวมถึงธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วยว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะเร็วกว่าไตรมาส 2 ของปีหน้า
ชี้พันธบัตรระยะยาวให้ยิลด์ดีกว่า
ด้านนายนที ดำรงกิจการ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า หากมองในภาพใหญ่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลก ได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาก็ใกล้เคียงแตะระดับศูนย์เปอร์เซนต์ จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศอยู่ในระดับที่ดี และมีความน่าสนใจ ส่วนตอนนี้ที่เริ่มมีบริษัทจัดการลงทุนบางแห่ง เริ่มทยอยออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้นั้น เพราะมองว่าอัตราผลตอบแทนในการลงทุนยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าไทย แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนขอแนะนำให้ผู้ที่สนใจพิจารณาความเสี่ยงจากการลงทุน และการป้องกันความเสี่ยงของกองทุนนั้นด้วย
"ในช่วงนี้การลงทุนพันธบัตรสั้นจะได้รับความสนใจมาก แต่ภาพรวมแล้วผลตอบแทนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2-3%หรือมีความใกล้เคียงกันทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นการลงทุนในระยะยาวดูมีทิศทางที่ดีกว่า เพราะอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามต้องแนะนำว่า สำหรับผู้ที่สนใจความหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวมจะดีกว่า เนื่องจากพันธบัตรระยะยาวยังมีปัจจัยอื่นๆในอนาคตที่อาจเข้ามาสร้างผลกระทบได้ และการลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่คอยดูแลจัดการเรื่องดังกล่าวให้เป็นอย่างดี"
ขณะเดียวกันเชื่อว่าในส่วนลูกค้าสถาบัน การหันมาลงทุนในพันธบัตรระยะยาวจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้า อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง เห็นได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆยังมีการปรับตัวลดลงอยู่
เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ากองทุน
สำหรับทิศทางและแนวโน้มการลงทุนในปี 2552 นายนที กล่าวว่า หากนักลงทุนสามารถแบกรับความเสี่ยงได้ การลงทุนในหุ้นยังเป็นช่องทางที่น่าสนใจ แม้ว่าในจะมีการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีหน้า หรือต้องใช้ระยะเวลาอีก 1 ปีก็ตาม เพราะในช่วงนั้นราคาอาจมีการเคลื่อนไหวบ้างและอาจสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเรื่องดังกล่าวได้ล่วงหน้าก่อน ส่วนผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ตำการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทพันธบัตร ยังเป็นช่องที่ให้ผลตอบแทนได้ดีเช่นเดิม และคาดว่ายังคงได้รับความสนใจจากประชาชนมาก
ส่วนทิศทางและแนวโน้มของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2552 นั้นประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าในอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากขึ้น หลังจากธนาคารพาณิชย์เริ่มีท่าทีชะลอการแข่งขันด้านดอกเบี้ยเงินฝากลง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนมีช่องทางในการสร้างผลตอบแทนน้อยลง ซึ่งจุดนี้น่าจะมีเม็ดเงินบางส่วนไหลกลับเข้ามาสู่อุตสาหกรรมกองทุนรวมอีกครั้ง
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ในปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ จะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วยแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา การลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนไปแล้วถึง 9.36% ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกเอง ผลตอบแทนก็ปรับขึ้นเช่นกัน ทำให้เชื่อว่าทั้งปีนี้ ผลตอบแทนน่าจะสูงถึง 12% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีพันธบัตรรัฐบาล
ทั้งนี้ จากผลตอบแทนดังกล่าว จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น ประกอบกับวิกฤตการเงินไม่ได้ส่งผลต่อการลงทุนในสหรัฐหรือยุโรปเพียงเท่านั้น แต่การลงทุนทั่วโลกยังได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล เพราะเชื่อว่ายังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยอยู่
"ปีที่แล้วการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนประมาณ 30% ในขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ให้ผลตอบแทน 7% ซึ่งสูงกว่าค่อนข้างมาก แต่หลังจากเกิดวิกฤตขึ้น ส่งให้ทั้งปีนี้ การลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งการที่มีการปรับลดดอกเบี้ยด้วยแล้ว จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปได้อีก"นายศุภกรกล่าว
นายศุภกรกล่าวว่า ถึงแม้การลงทุนในพันธบัตรจะดี ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ แต่การลงทุนปีนี้ถือว่ายากมาก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เราเจอปัญหาเงินเฟ้อซึ่งส่งผลไม่ดีต่อพันธบัตรรัฐบาล แต่หากพูดถึงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การลงทุนในพันธบัตรระยะยาว จะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว เชื่อว่านักลงทุนสถาบันเอง ก็จะปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยยืดอายุการลงทุนในพันธบัตรให้ยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดตรงที่ตลาดยังไม่สามารถรองรับสภาพคล่องได้ ทำให้ไม่สามารถเข้าออกได้ภายใน 1 วัน หรือในระยะเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น การปรับกลยุทธ์การลงทุนจึงต้องทำเป็นค่อยเป็นค่อยไป
กองทุนอสังหาฯยังน่าสนใจ
ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน(มันนี่มาร์เกต) รวมถึงกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอาจจะทยอยปรับลดลงบ้าง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จะทำให้การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนด้วย โดยเฉพาะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว
โดยนักลงทุนที่จะลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องเลือกเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในสิทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดหมุดเวียน จะเป็นกองทุนที่น่าลงทุนที่สุด เพราะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลต่อกระแสเงินที่ลดลง และรายได้ที่ลดลง ดังนั้น นักลงทุนจะต้องดูว่าสินทรัพย์ประเภทไหนได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวน้อยที่สุด ซึ่งหากให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% ก็ยังมองว่าลงทุนได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ผลตอบแทนก็จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 7% ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ กลุ่มที่อาจจะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าพักที่ลดลง ศูนย์การค้าก็อาจจะกระทบบ้างจากการใช้จ่ายที่ลดลง ส่วนอาคารสำนักงานเอง ก็ต้องดูว่าความต้องการใช้พื้นที่ลดลงหรือไม่ แต่หากรายได้ลดลงไม่เกิน 10% ในขณะที่กระแสเงินสดยังจ่ายได้อยู่ ก็ยังสามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นผลดีจากปัจจัยลบดังกล่าวคือ สามารถต่อรองราคาสินทรัพย์ได้มากขึ้น เพราะการที่ทุกอย่างชะลอตัวลงไปแบบนี้ ราคาของสินทรัพย์ที่จะจัดตั้งเป็นกองทุนน่าจะลดราคาลงได้เช่นกัน และถ้าเจ้าของสินทรัพย์ต้องการเงินทุน การเจรจาก็อาจจะง่ายขึ้น
กองหุ้นโดยรวมถือเงินสดเพิ่ม
นายศุภกรกล่าวต่อถึงการลงทุนในหุ้นว่า จากการที่ตลาดหุ้นปรับลดลงไปแล้วประมาณ 50% ทำให้ผู้จัดการกองทุนเอง พยายามขายหุ้นออกมาเพื่อลดสัดส่วนลงและหันมาเก็บเงินสดเอาไว้มากขึ้น โดยหุ้นที่ลดสัดส่วนลงนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตดังกล่าว ก็ไม่สามารถทำได้เร็วเช่นกัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ มีสภาพคล่องค่อนข้างต่ำ และทำได้จำกัด ทำให้สัดส่วนการถือเงินสดมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปีหน้า ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองก่อนล่วงหน้าในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญอาจจะต้องขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา รวมถึงธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วยว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะเร็วกว่าไตรมาส 2 ของปีหน้า
ชี้พันธบัตรระยะยาวให้ยิลด์ดีกว่า
ด้านนายนที ดำรงกิจการ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า หากมองในภาพใหญ่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลก ได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาก็ใกล้เคียงแตะระดับศูนย์เปอร์เซนต์ จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศอยู่ในระดับที่ดี และมีความน่าสนใจ ส่วนตอนนี้ที่เริ่มมีบริษัทจัดการลงทุนบางแห่ง เริ่มทยอยออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้นั้น เพราะมองว่าอัตราผลตอบแทนในการลงทุนยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าไทย แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนขอแนะนำให้ผู้ที่สนใจพิจารณาความเสี่ยงจากการลงทุน และการป้องกันความเสี่ยงของกองทุนนั้นด้วย
"ในช่วงนี้การลงทุนพันธบัตรสั้นจะได้รับความสนใจมาก แต่ภาพรวมแล้วผลตอบแทนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2-3%หรือมีความใกล้เคียงกันทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นการลงทุนในระยะยาวดูมีทิศทางที่ดีกว่า เพราะอัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามต้องแนะนำว่า สำหรับผู้ที่สนใจความหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวมจะดีกว่า เนื่องจากพันธบัตรระยะยาวยังมีปัจจัยอื่นๆในอนาคตที่อาจเข้ามาสร้างผลกระทบได้ และการลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่คอยดูแลจัดการเรื่องดังกล่าวให้เป็นอย่างดี"
ขณะเดียวกันเชื่อว่าในส่วนลูกค้าสถาบัน การหันมาลงทุนในพันธบัตรระยะยาวจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้า อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง เห็นได้จากตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆยังมีการปรับตัวลดลงอยู่
เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ากองทุน
สำหรับทิศทางและแนวโน้มการลงทุนในปี 2552 นายนที กล่าวว่า หากนักลงทุนสามารถแบกรับความเสี่ยงได้ การลงทุนในหุ้นยังเป็นช่องทางที่น่าสนใจ แม้ว่าในจะมีการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีหน้า หรือต้องใช้ระยะเวลาอีก 1 ปีก็ตาม เพราะในช่วงนั้นราคาอาจมีการเคลื่อนไหวบ้างและอาจสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเรื่องดังกล่าวได้ล่วงหน้าก่อน ส่วนผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ตำการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทพันธบัตร ยังเป็นช่องที่ให้ผลตอบแทนได้ดีเช่นเดิม และคาดว่ายังคงได้รับความสนใจจากประชาชนมาก
ส่วนทิศทางและแนวโน้มของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 2552 นั้นประเมินว่าจะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าในอุตสาหกรรมกองทุนรวมมากขึ้น หลังจากธนาคารพาณิชย์เริ่มีท่าทีชะลอการแข่งขันด้านดอกเบี้ยเงินฝากลง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนมีช่องทางในการสร้างผลตอบแทนน้อยลง ซึ่งจุดนี้น่าจะมีเม็ดเงินบางส่วนไหลกลับเข้ามาสู่อุตสาหกรรมกองทุนรวมอีกครั้ง