“การลงทุนของบริษัทหลังจากนี้จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากมองว่าให้จะเป็นกลุ่มหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ อีกทั้งยังเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาด โดยโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะสามารถดีดกลับมาจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า”
ต้องยอมรับกันว่า เมื่อแรกเริ่มเข้าสุ่ปี 2551 เมื่อ 360 กว่าวันที่ผ่านมา บรรดากูรู ผู้เชี่ยวชาญต่างคาดการณ์กันว่าดัชนีหุ้นไทยในขณะนั้นจะมีโอกาสปิดท้ายปีกันที่ 900 จุดได้ แต่ทุกวันนี้อยู่แค่ไหน....เราคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นข่าวสารที่เราสามารถรับรู้กันได้แบบวันต่อวันผ่านหน้าจอทีวีช่องต่างๆ หน้าหนังสือพิมพ์ รวมทั้งรายการวิทยุ และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอยู่แล้ว
ส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยให้กูรูต่างเชื่อกันว่าดัชนีจะมีโอกาสขึ้นไปถึง 900 – 910 จุดในขณะนั้น หนีไม่พ้นความร้อนแรงของหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะเพราะช่วง ไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสที่สองของปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแบบที่เรียกว่ายากจะหาอะไรมาฉุดอยู่ และทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงตาม เรียกว่าราคาน้ำมัน 47 -50 เหรียญต่อบาร์เรลในช่วงนี้น้องๆไปเลย เพราะช่วงนั้นอยู่ในช่วง 147 -150 เหรียญ/บาร์เรล แพงกว่าปัจจุบันถึง 2 เท่าตัว
แต่เมื่อราคาน้ำมันแพง สิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้น นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชากรโลกที่พยายามลดและหลีกเลี่ยงการใช้ เมื่อดีมานด์ ไม่บาลานซ์กับซัพพลาย ความต้องการน้อยลง และปริมาณสินค้ายังมีอยู่ในอันดับสูง บวกกับวิกฤตความรุนแรงของซับไพรม์ที่กลายร่างเป็นวิกฤตการเงินโลก เปรียบเสมือนเชือกสริงเส้นใหญ่หลายเส้นผูกมัดราคาน้ำมันที่สูง พร้อมร่วมแรงร่วมใจกันฉุดมันให้ตกลงมาก ไม่ใช่แบบทยอยทีละเล็กทีละน้อย แต่เป็นดิ่งแบบแทบหาเบรกไม่เจอ ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานบางตัวจากที่เคยอยู่ที่ 300 - 500 บาท เพียงแค่ช่วงเดือนที่ 9 และ 10 ก็มีราคารเหลือยู่เพียง 100 กว่าบาท บางตัวเหลืออยู่เพียง 80 กว่าบาท จนต้องอิจฉาคนที่ได้ซื้อเก็บไว้ช่วงนั้น
ปัจจัยลบต่างๆที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจพลังงาน ประสบปัญหาขาดทุนจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการยังมั่นใจว่าปี 2553 จะฟื้นตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)ให้ความเห็นว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานกำลังประสบปัญหาความมั่นคงลดลง หลังจากราคาพลังงานปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการและกำไรของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีลดลง ประกอบกับมีภาระต้นทุนต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันอยู่ในภาวะขาดทุน ดูจากผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ที่ผ่านมา ส่วนใหญมีการขาดทุนแล้ว
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจพลังงาน คาดว่า ในปีนี้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจพลังงาน จะยังไม่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะซบเซา แต่ในปี 2553 มั่นใจว่า ผลประกอบการและรายได้จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากโรงแยกก๊าซจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ประกอบกับเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมา ซึ่งจะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการหารือเกี่ยวกับตัวเลขทั้งหมด เพื่อกำหนดทิศทางพลังงานให้เหมาะสมต่อไป
ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันในขณะนี้ว่าไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างที่หลายฝ่ายเริ่มความวิตกกังวล แต่ที่ ปตท.มีการปรับราคาจำหน่ายปลีกไปก่อนหน้านี้ เป็นเพราะปัจจัยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัญหาของรัสเซียและยูเครนทำให้การส่งก๊าซธรรมชาติมีปัญหา แต่ในขณะนี้เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว โดยราคาน้ำมันแนวโน้มจริงอยู่ที่ราคา 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยในตลาดโลก ซึ่งทาง ปตท.เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะสามารถปรับตัวลดลงได้อีก
เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ผู้ประกอบการค้าน้ำมันเพียงด่านเดียว ในส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่าง สิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย แสดงทัศนะ เป็นห่วงการใช้แก๊สโซฮอล์อาจจะชะลอตัว หลังรัฐบาลไม่ประกาศต่ออายุลดภาษีแก๊สโซฮอล์ เสนอรัฐหามาตรการส่งเสริมเพิ่มเติม หวั่นซ้ำเติมปัญหาราคาเอทานอลตกต่ำจาก 22 บาทในไตรมาสที่แล้ว เหลือเพียง 17.18 บาท/ลิตร ในไตรมาส 1 ปีนี้ เพราะปัจจุบันความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันเบนซิน กับ แก๊สโซฮอล์ อี 10 อยู่ที่ประมาณ 8-9 บาทต่อลิตร เป็นแรงจูงใจให้เกิดการใช้แก๊สโซฮอล์เป็นจำนวนมาก ทำให้ยอดใช้เอทานอลสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านลิตร/วัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า เรื่องน่าชื่นชมของประชาชนคนทั่วไป ตาดำอย่างพวกเรา ตอนนี้กำลังสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจเหล่านี้อยู่
ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ในต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว ก็ล้วนได้รับผลกระทบด้วยกันถ้วนหน้า ล่าสุด เชฟรอน คอร์ป บริษัทน้ำมันรายใหญ่หมายเลข 2 ของโลก เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี 2551 จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของบริษัทประจำไตรมาส 4 ซึ่งอาจร่วงหนักสวนทางกับผลกำไรที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลดลงหลังจากที่พุ่งสูงสุดเหนือระดับ 147 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนก.ค. โดยในช่วงไตรมาสสี่ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นั้น ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวที่ประมาณ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล จนกระทั่งสิ้นเดือนธ.ค.ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปปิดที่ระดับ 44.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลงเกือบ 60%
โดยเชฟรอนเปิดเผยว่า ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.2551 ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในอัตราเฉลี่ยที่ 61.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลง 45% จากระดับ 112.22 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงไตรมาสสาม และจากราคาน้ำมันที่แกว่งตัวลดลง ทำให้เชฟรอนและบริษัทน้ำมันรายอื่นๆไม่สามารถกอบโกยเงินได้มากอย่างที่เคยทำได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ขณะที่ในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่แล้วเชฟรอนสามารถโกยกำไรได้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 7.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน เอ็กซอน โมบิล คอร์ปบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยรายได้ที่สูงถึง 1.483 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เชฟรอนจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 และผลประกอบการประจำปี 2551 ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งตลาดวอลล์สตรีทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ของเชฟรอนจะย่ำแย่ที่สุดในปี 2551
กลับมองในมุมมองของนักลงทุนกันบ้าง เม่อบิ๊กปตท. หรือ PTT ออกมากล่าวยอมรับว่า แนวโน้มอัตราการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งหลังปี 51 น่าจะต่ำกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจ่ายเงินปันผลที่ระดับ 6 บาทต่อหุ้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากผลประกอบการประกอบกับ บริษัทต้องดูแผนการลงทุนและฐานะทางการเงินประกอบการพิจารณาด้วย อีกทั้งบริษัทมีภาระที่ต้องแบกรับทั้งในส่วนของ LPG และ NGV แต่บริษัทจะนำความคิดเห็นของ กระทรวงการคลังที่อยากให้บริษัทฯจ่ายเงินปันผลสูงกว่าครึ่งปีแรกในการพิจารณาด้วย
ดังนั้นภายในปี 2552 นี้ ปตท.คาดว่ารายได้ปีนี้จะลดลง 10% จากปี 2551 แต่ในส่วนของกำไรบริษัทจะพยายามประคับประคองให้เท่ากับปีก่อน สาเหตุที่มองว่ารายได้ปีนี้จะลดลงนั้นเนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันในปีนี้เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากปีก่อนที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ยังคาดว่าในส่วนของธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมียังมีโอกาสเห็นจุดต่ำสุดอีก
สำหรับการลงทุนในคอมมอดิตี ซามาเรนดู โมฮานตี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศกล่าวว่า ราคาข้าวเกรดบี 100% ของไทยร่วงลงแตะระดับ 575 ดอลลาร์/ตันในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ 1,080 ดอลลาร์/ตัน ซึ่งเป็นผลมาจากเกษตรกรเพิ่มปริมาณการปลูกข้าวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และต้นทุนราคาน้ำมันและปุ๋ยปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม เกษตรกรจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากราคาข้าวที่ลดฮวบลงถึงครึ่งหนึ่ง และคาดว่าในปีนี้ราคาข้าวอาจพุ่งสูงขึ้นอีกเนื่องจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ลุกลามไปทั่วโลกส่งผลให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น
เรื่องนี้จะส่งผลให้ ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่สุดของโลกเมื่อปีที่แล้ว ได้ปรับลดคาดการณ์การผลิตข้าวในปีนี้ลงเกือบ 4% เนื่องจากเกษตรกรกู้ยืมเงินได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์สินเชื่อทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังและเพิ่มกฎข้อบังคับด้านการปล่อยกู้ นอกจากนี้ ความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนราคาข้าวพุ่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
นอกจากนี้ โมฮานตีกล่าวว่าในช่วง 5 ปีที่แล้ว ปริมาณการบริโภคข้าวมีอยู่มากกว่าผลผลิต และอัตราผลตอบแทนจากข้าวตกต่ำลงมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษของปี 1990 ซึ่งหนึ่งในแนวทางการแก้ไขคือเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยข้าวและพัฒนาประสิทธิภาพการปลูกข้าวให้สูงขึ้น
แต่ในส่วนของผู้จัดการกองทุน เขากลับมีมุมมองที่ตรงกันข้ามกับผู้ประกอบการ และก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่นจ่าสนใจรับทราบเช่นกัน ณัฐรา อิสรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด แสดงทัศนะว่าสำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารทุนของบริษัทในปีที่ผ่านมาพบว่ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม 2 ช่วงด้วยกัน โดยช่วงแรกนั้นเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดปัญหาซัพไพรม์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่นักลงทุนได้เข้ามาลงทุนในกองทุนตราสารทุนเป็นจำนวนมาก แทนการถือครองเงินสดไว้กับตัว อีกช่วงคือช่วงปลายปีที่มีการกระตุ้นการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อใช้สิทธิทางด้านภาษี
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนของกองทุนได้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 85-90% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551จากปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงไปกว่า 50% ส่งผลให้บริษัทมีการลดน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นลงเหลือเพียง 70-75% โดยลดสัดส่วนการลงทุนจากลุ่มพลังงาน และปรับเปลี่ยนไปลงทุนในกลุ่ม พาณิชย์และกลุ่มบันเทิงแทน เพราะมองว่าการลงทุนในกลุ่มสื่อสารนั้นจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องสูง อีกทั้ง เมื่อพิจารณาหุ้นกลุ่มสื่อสาร พบว่านอกจากจะมีสภาพคล่องสูง ยังสร้างเม็ดเงินได้มาก ในขณะที่หนี้สินต่ำ
อีกทั้งการลงทุนของบริษัทหลังจากนี้จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากมองว่าให้จะเป็นกลุ่มหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ อีกทั้งยังเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาด โดยโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะสามารถดีดกลับมาจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า อย่างไรก็ตามการลงทุนในตลาดหุ้นบริษัทยังคงกังวลในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก จึงทำให้คาดว่าในส่วนของผลประกอบการที่จะประกาศออกมาจะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกับปรับตัวลดลง โดยสาเหตุที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงเนื่องมาจากภาคการส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศได้เกิดการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
กรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ยูโอบี(ไทย)จำกัดกล่าวว่า สำหรับการดีดกลับของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ไม่รู้ว่ามีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน โดยการที่หุ้นดีดกลับส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่สหรัฐอเมริกามีการออกแผนการกระตุ้นเศรษษฐกิจ ซึ่งนาย โอบามา ประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกาได้เร่งผลักดันโครงการต่างๆให้เกิดขึ้น ทั้งนี้จะทำให้นักลงทุนมองว่าหากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวแล้วจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นดีดกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์จากที่ก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลง อีกทั้งที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะมาจากปรากฏการณ์เดือนมกราคม หรือ แจนยัวรี่ เอฟเฟค(january effect)มากระทบ
"การปรับตัวโดยรวมของตลาดหุ้นในครั้งนี้ น่าที่จะเป็นการปรับขึ้นเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น โดยการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ภาพรวมของตลาดดัชนีได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2551 อีกทั้งแนวโน้มตลาดหุ้นจะดีกว่าในปีที่แล้วอย่างแน่นอน แต่สำหรับการคาดการณ์ตลาดนั้นนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องติดตามสถานการณ์และภาวะการณ์ต่างอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยในการลงทุน"
อย่างไรก็ตาม การลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือเป็นหุ้นกลุ่มหลักของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งหุ้นกลุ่มนี้เวลาปรับตัวลดลงได้ปรับตัวลดลงไปมากว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆดังนั้นเมื่อหุ้นดีดกลับจึงเป็นกลุ่มนี้ที่สามารถดีดกลับได้เร็ว นอกจากนี้สำหรับหุ้นในกลุ่มสื่อสารนั้นถึงแม้ว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ให้ปันผลที่ดี แต่หุ้นในกลุ่มนี้ไม่ค่อยที่จะมีการเคลื่อนไหวมากนัก เนื่องจากไม่มีข่าวต่างๆมากระทบทำให้ราคาหุ้น โดยจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง แต่ตลาดหุ้นในขาขึ้นนั้นการลงทุนไม่น่าจะมีการเคลื่อนไหวมาก เท่ากับหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน ที่มีข่าวสารต่างๆอกมาทำให้ราคาหุ้นเคลือนไหวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นลงได้ง่ายกว่าหุ้นกลุ่มต่างๆ ดังนั้นในมุมมองของการลงทุน คุณจะพอรู้คำตอบในใจตัวเองได้บ้างแล้วว่า อะไรเหมาะสม..........