xs
xsm
sm
md
lg

เอวายเอฟรอดตัวหุ้นเวียดนามรูด กองแม่FIFลดน้ำหนักลง10%ล่วงหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กองทุนอยุธยา อาเชียน เวียดนาม โฟกัส ค่ายเอวายเอฟรอดตัว ดัชนีหุ้นรูดถล่มทลายไม่กระทบมาก เหตุกองทุนแม่ในต่างประเทศลดน้ำหนักรับมือล่วงหน้า 10% ตั้งแต่ต้นปี หลังประเมินเงินเฟ้อ-ขาดดุลบัญชีฯ ส่อเค้าวิกฤตเศรษฐกิจไทย ชี้หากรัฐบาลไม่มีมาตรการสกัดเงินเฟ้อชัดเจน ต้องจำใจเห็นสภาพดัชนีรูดวันละจุดต่อไป ด้านผู้จัดการกองทุนแนะนักลงทุน อย่าเพิ่งมองเป็นโอกาส ขอให้รอดูจังหวะอีกสักพัก เผยครึ่งปีหลังจ่อคิวเอฟไอเอฟ ลุยคอมมอดิตี-ตราสารหนี้
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (เอวายเอฟ) เปิดเผยว่า กองทุนเปิดอยุธยา อาเชียน เวียดนาม โฟกัส (AYFAVN) กองทุนหุ้นต่างประเทศ (FIF) ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ที่มีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นเวียดนามอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมามากนัก เนื่องจากกองทุน CAAM Funds - ASEAN New Markets ซึ่งเป็นกองทุนหลักที่กองดังกล่าวเข้าไปลงทุน มีการปรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามไปแล้วตั้งแต่ต้นปีจากน้ำหนัก 20% ลดลงมาเหลือ 10%

ทั้งนี้ Credit Agricole Asset Management (CAAM) ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนเอง มีการคาดการณ์ถึงผลกระทบในระยะสั้น จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จึงมีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนดังกล่าว

"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเวียดนามเหมือนกับเหตุการณ์วิกฏตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับไทยในปี 2540 แต่เวียดนามมีข้อแตกต่างตรงที่มีภาระหนี้ที่น้อยกว่า ขณะเดียวกันยังมีการบริหารจัดการค่าเงินได้ค่อนข้างดี ทำให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงอย่างไทยมีน้อยกว่าด้วย"นายประภาสกล่าว

สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นของเวียดนาม ในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีการปรับลดอย่างต่อเนื่องทุกวัน วันละ 1% กว่าๆ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้จะยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการดูแลเงินเฟ้ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้จัดการกองทุนเอง ก็มีการพิจารณาว่าอาจจะมีการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามลงอีก อย่างไรก็ตาม การลงทุนของกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนในรายบริษัทมากกว่า ถ้าเขาเห็นว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่พื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ก็อาจจะยังคงให้น้ำหนักต่อไปได้

ทั้งนี้ กองทุน CAAM Funds - ASEAN New Markets มีนโยบายการลงทุนในหุ้นภูมิภาคอาเซียน โดยในปัจจุบันกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยอยู่ประมาณ 20% ซึ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากสัดส่วนเดิมที่ 10% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนการลงทุนในสิงคโปร์อยู่ที่ 30% มาเลเซีย 20% อินโดนีเซีย 20% และตลาดหุ้นเวียดนามอีกประมาณ 10% ซึ่งหากคำนวนออกมาแล้ว พอร์ตการลงทุนในเวียดนามเองถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของการให้น้ำหนักการลงทุนทั้งหมดในแต่ละประเทศพอสมควร

"หลังจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงไป มีนักลงทุนเข้ามาถามเช่นกันว่า น่าจะเป็นจังหวะการลงทุนหรือไม่ แต่เราก็แนะนำลูกค้าไปว่า ในช่วงนี้ให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนนี้ รอดูสถานจการณ์ไปก่อน เพราะปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงอาเซียนด้วย ดังนั้น การลงทุนในหุ้นอาจจะยังชะลอตัวอยู่ และในช่วงที่มีการปรับขึ้นก็อาจจะผันผวนขึ้นๆลงๆ อีกสักระยะ"นายประภาสกล่าว

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอง นายประภาสมองว่า นักลงทุนสถาบันเองเริ่มมีการกลับเข้ามาซื้อบ้างแล้ว เพราะเขามองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า ซึ่งบลจ.เอวายเอฟเองที่ผ่านมาก็ทยอยซื้อไปบ้าง หลังจากตลาดมีการปรับตัวจากปัญหาการเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ มองว่า ทั้ง 3 ปัจจัยจะยังคงมีให้เห็นอยู่ในการลงทุนของตลชาดหุ้นไทยต่อไปอีกสักระยะ ทั้งนี้ การลงทุนของกองทุนหุ้นในปัจจุบันถือเงินสดอยู่ประมาณ 8-9% ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากในช่วงปกติที่มีสัดส่วนการถือเงินสดเพียง 3-5% เท่านั้น

นายประภาสกล่าวต่อว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมีแผนออกกองทุนต่างประเทศเพิ่มอีกจำนวน 2 กอง กองทุนแรกจะเน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ซึ่งจะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบแอกทีฟ ผ่านกองทุนดัชนี ETF ในต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะแบ่งเป็นการลงทุนในแอสเซทคลาสประมาณ 12 ดัชนี ซึ่งบริษัทจะมีที่ปรึกษาการลงทุนจากต่างประเทศในการแนะนำว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในแอสเซทคลาสใด แต่การตัดสินใจลงทุนจะอยู่ที่เรา

ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือกลงทุนในแอสเซทคลาสหลายประเภท เนื่องจากเราต้องการบริหารความเสี่ยงของกองทุน เพราะเราเชื่อว่าสินค้าคอมมอดิตีไม่ได้ดีตลอดเวลาหรือดีทุกแอสเซทคลาส หากแอสเซทคลาสไหนไม่ดีก๋สามารถลดน้ำหนักการลงทุน และเพิ่มแอสเซทคลาสอื่นได้ ดังนั้น หากกองทุนสามารถบริหารจัดการเองได้ทั้งการกระจายความเสี่ยงและค่าเงิน ก็น่าจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนของกองทุน โดยกองทุนดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้ปลายเดือนนี้

สำหรับกองทุนต่างประเทศอีก 1 กองทุนนั้น คาดว่าจะเป็นกองทุนตราสารหนี้และจะเปิดขายได้ประมาณช่วงไตรมาส 3 ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีนั้น ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเปิดขายกองทุนอายุ 3 เดือนและ 6 เดือนอยู่ ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี แต่หลังจากนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถมีกองทุนเกาหลีออกมาอีกหรือเปล่า เพราะต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผลตอบแทนลดต่ำลง

"ภาพรวมของกองทุนเกาหลีตอนนี้ยังพอไปได้ แต่หลังจากนี้อาจจะมีให้เห็นน้อยลง หรืออาจจะออกยากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าตอนนี้ บลจ.เองก็เริ่มหันมาออกกองทุนพันธบัตรในประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะอัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น"นายประภาสกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น