"อเบอร์ดีน แอสเส็ท แมเนจเม้นท”รุกขยายธุรกิจ ด้วยการเข้าซื้อทรัพย์สินบางส่วนในธุรกิจการจัดการลงทุนทั่วโลกของ เครดิต สวิส ด้วยวิธีแลกหุ้น 240 ล้านหุ้น หรือ 24.97% ของหุ้นสามัญทั้งหมด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
รายงานข่าวแจ้งว่า อเบอร์ดีน แอสเส็ท แมเนจเม้นท์พับลิค คอมพานี ลิมิเต็ด ประกาศการเข้าร่วมสัญญากับ เครดิต สวิส เพื่อเข้าซื้อทรัพย์สินบางส่วน(ทรัพย์สินที่ควบรวม) และธุรกิจการบริหารทรัพย์สินของ เครดิต สวิส (กิจการที่ควบรวม) หากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและผู้ที่มีอํานาจเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เครดิต สวิส จะได้รับผลตอบแทนจากการเข้าซื้อกิจการเป็นหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของอเบอร์ดีนจํานวน 240 ล้านหุ้น ซึ่งเท่ากับ24.97% ของทุนสามัญของทั้งกลุ่มอเบอร์ดีน ซึ่งมีมูลค่า 250 ล้านปอนด์ คํานวณจากราคาหุ้นละ 1.0425 ปอนด์ ณ ปิดตลาดเมื่อ30 ธ.ค. 51 จํานวนหุ้นที่จะออกใหม้ได้แก่ เครดิ ต สวิส ขึ้นอยู่กับการประเมินรายได้จนถึงวันปิดการซื้อขาย ซึ่งคาดว่าจะเป็นนวันที่ 30มิ.ย. 52
สำหรับ มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารของกิจการที่ควบรวมเท่ากับ 7.5 หมื่นล้านฟรังสวิส (4 หมื่นล้านปอนด์) ณ 30 พ.ย. 51 โดยคาดการณ์ว่ารายรับประเมินอยู่ที่ประมาณ 220 ล้านฟรังสวิส (118 ล้านปอนด์) ต่อปี หากเป็นไปตามการคาดการณ์นี้ ณ วันปีดการซื้อขาย เครดิต สวิส จะได้รับชําระเป็นหุ้นใหม่ของอเบอร์ดีนจํานวน 240 ล้านหุ้นทรัพย์สินที่ควบรวม คือส่วนธุรกิจบริหารกองทุนที่มีแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม (ซื้อและถือครองไว้ก่อนที่จะมีการขาย) ซึ่งมีสํานักงานสาขาในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภท โดยเน้นที่ตราสารหนี้ ตลาดเงิน และตราสารทุน พร้อมกับรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งจะนํามาประกอบเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลงทุนของอเบอร์ดีน โดยจะมีการออกผลิตภัณฑ์เพื่อขายให้บุคคลภายนอก โดยมีส่วนของทรัพย์สินสําคัญเป็นส่วนนี้อยู่ที่ได้จากกิจการธนาคารส่วนบุคคลของ เครดิต สวิส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบริหารกองทุนความมั่งคั่งรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก
ขณะเดียวกัน อเบอร์ดีน ตกลงต่ออายุสัญญาการจัดจําหน่ายที่มีอยู่เดิมกับ เครดิต สวิส ที่จะลงนามร่วมกันในวันปิดการซื้อขาย ซึ่งจะทําให้อเบอร์ดีนได้รับประโยชน์จากเครือข่ายสาขาธนาคารของ เครดิต สวิส ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่สําคัญที่อเบอร์ดีนได้รับจากการควบรวมกิจการ ได้แก่ โอกาสการขยายธุรกิจในตลาดบางแห่งที่กลุ่มอเบอร์ดีนมีธุรกิจอยู่แล้ว เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น กิจการที่ควบรวมจะเสริมความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ในบางประเภทของอเบอร์ดีน
รวมทั้งทำให้มีเครือข่ายสาขามากขึ้นทั้งที่เป็นของ เครดิต สวิส และกิจการธนาคารส่วนบุคคล (ไพรเวท แบงก์กิ้ง) ของเครดิต สวิส และมีผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่มีคุณภาพ และต้องการถือหุ้นระยะยาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับอเบอร์ดีน
นอกจากนี้ยังสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของอเบอร์ดีน โดยเพิ่มทุนผ่านการออกหุ้นใหม่ และลดภาระตุ้นทุน เนื่องจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ควบรวมในครั้งนี้ไม่มีภาระหนี้ อีกทั้งการควบรวมจะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพด้านทุนให้สูงขึ้น และเพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ผ่านรูปแบบการดําเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพของอเบอร์ดีน ที่จะนํามาประยุกต์ใช้กับกิจการที่ควบรวมอีกทั้งเพิ่มยอดรายได้อย่างมีนัยสําคัญ (ก่อนขั้นตอนการลดค่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้) หลังจากวันปิดการซื้อขาย
มาร์ติน กิลเบิร์ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ อเบอร์ดีน ให้ความเห็นว่า การเข้าซื้อกิจการนี้จะส่งผลให้อเบอร์ดีนกลายเป็นผู้นําด้านการจัดการการลงทุนของโลก และทําให้เรามีช่องทางการจัดจําหน่ายมากขึ้นผ่านเครือข่ายและกิจการธนาคารส่วนบุคคล (ไพรเวท แบงก์กิ้ง) ของเครดิต สวิส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก
“การเข้าร่วมในสัญญาครั้งนี้มีความเหมาะสมที่สุดกับกลยุทธ์ของเรา ซึ่งมีส่วนสําคัญอยู่ที่การเข้าซื้อกิจการที่จะสร้างเสริมรายได้ ซึ่งจะเพิ่มความสามารถให้แก่ธุรกิจหลักของเรา และองค์กรของอเบอร์ดีนเติบโต โดยจากความสําเร็จในการควบรวมกิจการที่ผ่านมาซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เราอยู่ในฐานะที่ดีซึ่งมั่นใจได้ว่าการแปรทรัพย์สินของเครดิต สวิส ให้เป็นของอเบอร์ดีนนั้นจะเป็นไปด้วยความราบรื่น และเราพร้อมให้การต้อนรับทีมงานและกลุ่มลูกค้าใหม่จากเครดิตสวิส และขอต้อนรับเครดิต สวิส ในฐานะผู?ถือหุ้นคนสําคัญของอเบอร์ดีน เราเชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวสําหรับผู้ถือหุ้นของเราทุกคน”
ด้าน ร็อบ ชาฟีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธุรกิจจัดการกองทุนของ เครดิต สวิส กล่าวว่า เราเชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะสร้างโอกาสที่น่าสนใจ ลูกค้าของเราจะสามารถเลือกสรรกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่มีจุดแข็ง ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้จัดการการลงทุนชั้นนํา ที่มีผลงานการบริหารทรัพย์สินหลากหลายประเภท และมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลังที่ดี นอกจากนี้ยังช่วยให้เราขยายมูลค่าธุรกิจการบริการเพื่อนักลงทุนทั่วโลกได้สูงสุด ตามที่เคยได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้และเรายังได้รับประโยชน์จากความได้เปรียบเรื่องขนาดธุรกิจของหุ้นส่วนใหม่ของเราท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยการควบรวมกิจการ
มาร์ติน ฮิวส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของทอสก้าฟันด์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของอเบอร์ดีน กล่าวว่า ทอสก้าฟันด์ ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนการควบรวมกิจการที่จะสร้างรูปลักษณ์ของธุรกิจใหม่ ซึ่งทําให้เกิดขึ้นมาได้ด้วยระบบการดําเนินธุรกิจที่ดีเยี่ยมของอเบอร์ดีน ทอสก้าฟันด์ เชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนสําหรับลูกค้าและผู้ถือหุ้นของทั้งอเบอร์ดีน และ เครดิต สวิส
รายงานข่างแจ้งว่า เจพีมอร์แกน เคซโนฟ ทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ตัวแทนนายหน้า และผู้สนับสนุนของอเบอร์ดีน เกี่ยวกับการเข้าซื้อธุรกิจที่ควบรวมด้านบริหารกองทุนจาก เครดิต สวิส ในครั้งนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า อเบอร์ดีน แอสเส็ท แมเนจเม้นท์พับลิค คอมพานี ลิมิเต็ด ประกาศการเข้าร่วมสัญญากับ เครดิต สวิส เพื่อเข้าซื้อทรัพย์สินบางส่วน(ทรัพย์สินที่ควบรวม) และธุรกิจการบริหารทรัพย์สินของ เครดิต สวิส (กิจการที่ควบรวม) หากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นและผู้ที่มีอํานาจเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เครดิต สวิส จะได้รับผลตอบแทนจากการเข้าซื้อกิจการเป็นหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของอเบอร์ดีนจํานวน 240 ล้านหุ้น ซึ่งเท่ากับ24.97% ของทุนสามัญของทั้งกลุ่มอเบอร์ดีน ซึ่งมีมูลค่า 250 ล้านปอนด์ คํานวณจากราคาหุ้นละ 1.0425 ปอนด์ ณ ปิดตลาดเมื่อ30 ธ.ค. 51 จํานวนหุ้นที่จะออกใหม้ได้แก่ เครดิ ต สวิส ขึ้นอยู่กับการประเมินรายได้จนถึงวันปิดการซื้อขาย ซึ่งคาดว่าจะเป็นนวันที่ 30มิ.ย. 52
สำหรับ มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารของกิจการที่ควบรวมเท่ากับ 7.5 หมื่นล้านฟรังสวิส (4 หมื่นล้านปอนด์) ณ 30 พ.ย. 51 โดยคาดการณ์ว่ารายรับประเมินอยู่ที่ประมาณ 220 ล้านฟรังสวิส (118 ล้านปอนด์) ต่อปี หากเป็นไปตามการคาดการณ์นี้ ณ วันปีดการซื้อขาย เครดิต สวิส จะได้รับชําระเป็นหุ้นใหม่ของอเบอร์ดีนจํานวน 240 ล้านหุ้นทรัพย์สินที่ควบรวม คือส่วนธุรกิจบริหารกองทุนที่มีแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม (ซื้อและถือครองไว้ก่อนที่จะมีการขาย) ซึ่งมีสํานักงานสาขาในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และกระจายการลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภท โดยเน้นที่ตราสารหนี้ ตลาดเงิน และตราสารทุน พร้อมกับรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งจะนํามาประกอบเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลงทุนของอเบอร์ดีน โดยจะมีการออกผลิตภัณฑ์เพื่อขายให้บุคคลภายนอก โดยมีส่วนของทรัพย์สินสําคัญเป็นส่วนนี้อยู่ที่ได้จากกิจการธนาคารส่วนบุคคลของ เครดิต สวิส ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบริหารกองทุนความมั่งคั่งรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก
ขณะเดียวกัน อเบอร์ดีน ตกลงต่ออายุสัญญาการจัดจําหน่ายที่มีอยู่เดิมกับ เครดิต สวิส ที่จะลงนามร่วมกันในวันปิดการซื้อขาย ซึ่งจะทําให้อเบอร์ดีนได้รับประโยชน์จากเครือข่ายสาขาธนาคารของ เครดิต สวิส ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่สําคัญที่อเบอร์ดีนได้รับจากการควบรวมกิจการ ได้แก่ โอกาสการขยายธุรกิจในตลาดบางแห่งที่กลุ่มอเบอร์ดีนมีธุรกิจอยู่แล้ว เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น กิจการที่ควบรวมจะเสริมความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์ในบางประเภทของอเบอร์ดีน
รวมทั้งทำให้มีเครือข่ายสาขามากขึ้นทั้งที่เป็นของ เครดิต สวิส และกิจการธนาคารส่วนบุคคล (ไพรเวท แบงก์กิ้ง) ของเครดิต สวิส และมีผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่มีคุณภาพ และต้องการถือหุ้นระยะยาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับอเบอร์ดีน
นอกจากนี้ยังสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของอเบอร์ดีน โดยเพิ่มทุนผ่านการออกหุ้นใหม่ และลดภาระตุ้นทุน เนื่องจากการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่ควบรวมในครั้งนี้ไม่มีภาระหนี้ อีกทั้งการควบรวมจะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพด้านทุนให้สูงขึ้น และเพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ผ่านรูปแบบการดําเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพของอเบอร์ดีน ที่จะนํามาประยุกต์ใช้กับกิจการที่ควบรวมอีกทั้งเพิ่มยอดรายได้อย่างมีนัยสําคัญ (ก่อนขั้นตอนการลดค่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้) หลังจากวันปิดการซื้อขาย
มาร์ติน กิลเบิร์ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ อเบอร์ดีน ให้ความเห็นว่า การเข้าซื้อกิจการนี้จะส่งผลให้อเบอร์ดีนกลายเป็นผู้นําด้านการจัดการการลงทุนของโลก และทําให้เรามีช่องทางการจัดจําหน่ายมากขึ้นผ่านเครือข่ายและกิจการธนาคารส่วนบุคคล (ไพรเวท แบงก์กิ้ง) ของเครดิต สวิส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก
“การเข้าร่วมในสัญญาครั้งนี้มีความเหมาะสมที่สุดกับกลยุทธ์ของเรา ซึ่งมีส่วนสําคัญอยู่ที่การเข้าซื้อกิจการที่จะสร้างเสริมรายได้ ซึ่งจะเพิ่มความสามารถให้แก่ธุรกิจหลักของเรา และองค์กรของอเบอร์ดีนเติบโต โดยจากความสําเร็จในการควบรวมกิจการที่ผ่านมาซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เราอยู่ในฐานะที่ดีซึ่งมั่นใจได้ว่าการแปรทรัพย์สินของเครดิต สวิส ให้เป็นของอเบอร์ดีนนั้นจะเป็นไปด้วยความราบรื่น และเราพร้อมให้การต้อนรับทีมงานและกลุ่มลูกค้าใหม่จากเครดิตสวิส และขอต้อนรับเครดิต สวิส ในฐานะผู?ถือหุ้นคนสําคัญของอเบอร์ดีน เราเชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในระยะยาวสําหรับผู้ถือหุ้นของเราทุกคน”
ด้าน ร็อบ ชาฟีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธุรกิจจัดการกองทุนของ เครดิต สวิส กล่าวว่า เราเชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะสร้างโอกาสที่น่าสนใจ ลูกค้าของเราจะสามารถเลือกสรรกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่มีจุดแข็ง ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้จัดการการลงทุนชั้นนํา ที่มีผลงานการบริหารทรัพย์สินหลากหลายประเภท และมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลังที่ดี นอกจากนี้ยังช่วยให้เราขยายมูลค่าธุรกิจการบริการเพื่อนักลงทุนทั่วโลกได้สูงสุด ตามที่เคยได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้และเรายังได้รับประโยชน์จากความได้เปรียบเรื่องขนาดธุรกิจของหุ้นส่วนใหม่ของเราท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยการควบรวมกิจการ
มาร์ติน ฮิวส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของทอสก้าฟันด์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของอเบอร์ดีน กล่าวว่า ทอสก้าฟันด์ ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุนการควบรวมกิจการที่จะสร้างรูปลักษณ์ของธุรกิจใหม่ ซึ่งทําให้เกิดขึ้นมาได้ด้วยระบบการดําเนินธุรกิจที่ดีเยี่ยมของอเบอร์ดีน ทอสก้าฟันด์ เชื่อว่าการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอนสําหรับลูกค้าและผู้ถือหุ้นของทั้งอเบอร์ดีน และ เครดิต สวิส
รายงานข่างแจ้งว่า เจพีมอร์แกน เคซโนฟ ทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ตัวแทนนายหน้า และผู้สนับสนุนของอเบอร์ดีน เกี่ยวกับการเข้าซื้อธุรกิจที่ควบรวมด้านบริหารกองทุนจาก เครดิต สวิส ในครั้งนี้