xs
xsm
sm
md
lg

โยกเงินลงทุนบอนด์เข้าซื้อหุ้น หนีภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าควรลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ลง และควรโยกเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะจากการที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงได้ส่งผลกระทบให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลในทุกช่วงอายุ มีการปรับลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเป็นการปรับลดลงไปแล้วประมาณ 1.00-1.25% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงต้นเดือนธ.ค. 2551"

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) ได้ทำการประเมินทิศทางอัตราเงินเฟ้อในช่วงเดือนม.ค. 2552 ว่ามีโอกาสสูงที่จะได้เห็นการปรับตัวลดลงติดลบเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี โดยคาดว่าจะหดตัวลงอยู่ในระดับประมาณ -1.0% yoy โดยนอกจากนั้นแล้วทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2552 จะเกิดการชะลอตัวลงได้อย่างต่อเนื่องจากในปี 2551 ในเบื้องประเมินอัตราเงินเฟ้อจะมีการขยายตัวอยู่ที่ระดับประมาณ -1.0 ถึง 1.0% โดยการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2552 ยังคงมีปัจจัยที่จะต้องนำมาคำนึงหลายประการเพิ่มเติม โดยเฉพาะนโยบายช่วยเหลือค่าครองชีพของทางรัฐบาลที่จะครบอายุ 6 เดือนในช่วงต้นปี 2552 ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูงว่าจะมีการต่ออายุนโยบาย หรือยกเลิกเป็นบางข้อหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลให้การประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อของในปี 2552 ยังคงไม่มีความไม่แน่นอนอยู่สูง แต่อย่างไรก็ตามจากกระแสข่าวล่าสุดทางรัฐบาลชุดใหม่ของนายอภิสิทธิ์ จะมีการต่อมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพออกไปเป็นบางข้อ ดังนั้นแล้วจึงได้ทำการประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2552ใหม่ โดยใช้สมมุติฐานว่าทางรัฐบาลจะมีการยกเลิกนโยบายลดค่าครองชีพเฉพาะแค่ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง จากในเดือนก่อนหน้าที่ประมาณการณ์อยู่บนฐานของการยกเลิกนโยบายทั้งหมด ซึ่งได้ทำให้ทิศทางอัตราเงินเฟ้อในช่วงถัดไปจะมีการปรับลดลงได้อีกจากประมาณการณ์ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งจากการประเมินล่าสุดส่งผลให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2552 จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ -1.0 ถึง 1.0% ปรับลดลงจากการประเมินในเดือนที่แล้วที่อยู่ที่ระดับ 1.5 ถึง 3.0% และยังคาดว่าจะเห็นอัตราเงินเฟ้อมีการชะลอตัวติดลบได้ในบางเดือน(Deflation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางปี 2552 เนื่องจากประเมินว่าระดับราคาน้ำมันเมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2551 จะมีส่วนต่างกันอย่างมาก โดยที่คาดว่าจุดต่ำสุดของอัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2552 จะอยู่ที่ระดับประมาณ -4.0% และยังใช้สมมุติฐานราคาน้ำมันใหม่อยู่ที่ระดับ 64.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จาก 86.0 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ในเดือนที่แล้ว ชะลอจากค่าเฉลี่ยในปี 2551 กว่า 40%

ทั้งนี้ สถาบันวิจัยนครหลวงไทยคาดว่าในปี 2552 ภาพโดยรวมของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน จะเป็นการชะลอตัวลงในทิศทางเดียวกันกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามมองว่าจะไม่เป็นการปรับตัวลดลงรุนแรงมากนัก เมื่อเทียบกับการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้มีโอกาสสูงที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะขยายตัวมากกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ได้ในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่ปี 2542 โดยคาดว่าทิศทางของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงปี 2552 มีโอกาสสูงที่จะเป็นการชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากในปี 2551เนื่องจากปัจจัยจากการชะลอตัวลงทั้งในด้านของราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวมีเสถียรภาพากขึ้น เมื่อเทียบกับในปี 2551 ประกอบกับแรงซื้อที่คาดว่าจะหดหายลงไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงขาดเสถียรภาพอย่างสูง ดังนั้นแล้วจึงคาดว่าจะเป็นแรงกดดันที่สำคัญที่จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มสูงที่จะมีการชะลอตัวลงโดยตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตามในมุมมองของทางสถาบันวิจัยแล้วคาดว่าแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2552 จะยังคงมีการปรับตัวลดลงช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเนื่องจากลักษณะของราคาสินค้าหลายชนิดที่จะมีการปรับราคาลงค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคโดยส่วนใหญ่ จะมีการปรับราคาลงช้ากว่าสินค้าที่ราคามีความเคลื่อนไหวผันผวนสูง อย่างราคาน้ำมันและอาหารสด ดังนั้นส่งผลให้โดยรวมแล้วคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2552 โดยเฉลี่ยจะขยายตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5 ถึง 1.5% ชะลอตัวจากในปี 2551 ไม่มากนักเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป

จากแนวโน้มการคาดการณ์การขยายตัวที่ลดลงอย่างมากของอัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2552 ประเมินว่าจุดเหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จะอยู่ที่ระดับประมาณ 175 bps เพื่อช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เกิดการชะลอตัวลงรุนแรงมากนัก ขณะที่ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 14 ม.ค. 2551 ประเมินว่าทางกนง. จะมีการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

ต่อเนื่องอีก 50 bps โดย ประเมินแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปี 2552 คาดว่าทางกนง.จะยังคงตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินลง เพื่อช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้เกิดการชะลอตัวลงรุนแรง โดยในเบื้องต้นแล้วคาดว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กนง. จะทำการปรับลดลงอีกในช่วงปี 2552 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 175 bps ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.0% ตามการคาดการณ์ระดับอัตราเงินเฟ้อในปี 2552 ของ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ -1.0 ถึง 1.0% ซึ่งประเมินว่าจะยังคงเป็นระดับที่เหมาะสม ที่จะยังคงทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการกระตุ้นภาคอุปสงค์ในประเทศให้ขยายตัว และไม่ส่งผลลบกับภาคการออมมากนัก โดยนอกจากนั้นแล้วในการประชุมกนง. ในครั้งถัดไปในช่วงวันที่ 14 ม.ค. 2551 มองว่าทางกนง. จะยังคงมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ถึงขั้นการปรับลดลงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับการประชุมในรอบที่แล้ว โดยประเมินว่าทางกนง. จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 50 bps ไปอยู่ที่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 44 เดือน

โดยนอกจากนั้นแล้วทางสถาบันวิจัยยังได้ประเมินว่า**ในระยะสั้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าควรลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ลง และควรโยกเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เพราะจากการที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงได้ส่งผลกระทบให้อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลในทุกช่วงอายุ มีการปรับลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเป็นการปรับลดลงไปแล้วประมาณ 1.00-1.25% เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงต้นเดือนธ.ค. 2551โดยคาดว่าเป็นผลมาจากการที่ตลาดประเมินว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดในช่วงปี 2552 คาดว่าจะมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ทำให้ราคาพันธบัตรในช่วงนี้ปรับขึ้นไปค่อนข้างมาก และค่อนข้างที่จะทรงตัวแล้ว

ดังนั้นจึงแนะนำให้ลดการลงทุนใหม่ในตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่ในกรณีที่ทำการเข้าซื้อแล้ว แนะนำให้มีการทยอยขายทำกำไรออกไปก่อน เนื่องจากถ้าไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรุนแรงอย่างเช่นการประชุมของกนง. ในรอบที่แล้ว คาดว่าในระยะสั้นราคาพันธบัตรไม่น่าจะปรับขึ้นไปสูงกว่านี้ได้อีกมากนัก โดยประเมินว่าควรจะโยกเม็ดเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเริ่มใกล้เข้าสู่ช่วงการจ่ายเงินปันผลในช่วงเดือน เม.ย. – พ.ค. และประกอบกับคาดว่าทิศทางของตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นและมีความผันผวนจะน้อยลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะเริ่มฟื้นกลับคืนมา จากปัจจัยด้านการเมืองที่มีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่

กำลังโหลดความคิดเห็น