ภาพรวมตลาดหุ้นในเดือนธันวาคม
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48.12 จุดหรือ 11.97% โดย ณ วันที่ 30 ธ.ค.51 SET ปิดที่ระดับ 449.96 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 12,527.51 ล้านบาท ในช่วงต้นเดือน SET ปรับตัวลดลงตามความกังวลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและส่งออก ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งยุบพรรคพลังประชาชน(พปช.) มัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 เป็นเวลา 5 ปี ในวันที่ 2 ธ.ค. หลังจากนั้น พธม. ประกาศยุติการชุมนุมสลายตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองและทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร R/P 1 วันลงอีก 1% มาที่ 2.75% อีกทั้งทาง S&P, Fitch และ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยจาก ”มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ”
ที้งนี้ ในช่วงกลางเดือนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากการคาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 สำเร็จ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการการเงินสหรัฐ(FOMC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75–1% สู่ระดับ 0-0.25% มากกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้ รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงสู่ระดับ 0.5% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีความหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้ฟื้นตัวขึ้นได้ โดย SET ขึ่นไปแตะระดับ 456.24 จุด ณ วันที่ 17 ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มโอเปคมีมติให้ลดโควต้าการผลิตลงวันละ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ความกังวลต่อภาวะอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด กดดันให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงต่อเนื่องโดยไปแตะที่ระดับ 30.28 เหรียญฯต่อบาร์เรลในวันที่ 23 ธ.ค. ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง รวมทั้งการประกาศตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน พ.ย. ติดลบครั้งแรกในรอบ 7 ปีโดยลดลง 18.6% ส่งผลกดดันให้ SET ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 429.20 จุด ณ วันที่ 23 ธ.ค. โดยหลังการจัดตั้งคณะรัฐบาลภายใต้นายกฯนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตลาดได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 3 แสนล้านบาทซึ่งมีกำหนดการที่จะแถลงการณ์นโยบาย ในวันที่ 29 ธ.ค. 2551 แต่ด้วยมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้าปิดล้อมรัฐสภาจนส่งผลให้ต้องมีการเลื่อนการประชุมสภาฯ เป็นวันที่ 30 ธ.ค. อีกทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงผลักดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการบุกโจมตีของเครื่องบินรบอิสราเอลในบริเวณฉนวนกาซา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ทำให้ปริมาณซื้อขายเบาบางโดยทั้งเดือนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 12,030.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 14,069.73 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิ 2,039.39 ล้านบาท
คาดการณ์การลงทุนในเดือนมกราคม
ในช่วงเดือนมกราคม SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 420-500 จุด ซึ่งถึงแม้จะเกิดการสลับขั้วทางการเมืองในช่วงปลายปี 2551 โดยพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล แต่สถานการณ์การเมืองก็ยังอยู่ในสภาพที่มีปัญหา โดยในช่วงเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาลต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากขั้วการเมืองที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดต่อไป
คำแนะนำสำหรับการลงทุน
จากตัวเลขเศรษฐกิจในเดือน ต.ค. และ พ.ย. ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ อีกทั้งความขัดแย้งทางการเมืองยังคงมีอยู่ ดังนั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวยังมีความน่าสนใจเนื่องจากตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีประกอบกับอัตราเงินปันผลอยู่ในระดับสูง
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48.12 จุดหรือ 11.97% โดย ณ วันที่ 30 ธ.ค.51 SET ปิดที่ระดับ 449.96 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 12,527.51 ล้านบาท ในช่วงต้นเดือน SET ปรับตัวลดลงตามความกังวลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและส่งออก ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งยุบพรรคพลังประชาชน(พปช.) มัชฌิมาธิปไตย และพรรคชาติไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 เป็นเวลา 5 ปี ในวันที่ 2 ธ.ค. หลังจากนั้น พธม. ประกาศยุติการชุมนุมสลายตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองและทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร R/P 1 วันลงอีก 1% มาที่ 2.75% อีกทั้งทาง S&P, Fitch และ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยจาก ”มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ”
ที้งนี้ ในช่วงกลางเดือนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากการคาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวินเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 สำเร็จ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการการเงินสหรัฐ(FOMC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75–1% สู่ระดับ 0-0.25% มากกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้ รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงสู่ระดับ 0.5% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีความหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้ฟื้นตัวขึ้นได้ โดย SET ขึ่นไปแตะระดับ 456.24 จุด ณ วันที่ 17 ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มโอเปคมีมติให้ลดโควต้าการผลิตลงวันละ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ความกังวลต่อภาวะอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด กดดันให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงต่อเนื่องโดยไปแตะที่ระดับ 30.28 เหรียญฯต่อบาร์เรลในวันที่ 23 ธ.ค. ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง รวมทั้งการประกาศตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน พ.ย. ติดลบครั้งแรกในรอบ 7 ปีโดยลดลง 18.6% ส่งผลกดดันให้ SET ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 429.20 จุด ณ วันที่ 23 ธ.ค. โดยหลังการจัดตั้งคณะรัฐบาลภายใต้นายกฯนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตลาดได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 3 แสนล้านบาทซึ่งมีกำหนดการที่จะแถลงการณ์นโยบาย ในวันที่ 29 ธ.ค. 2551 แต่ด้วยมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้าปิดล้อมรัฐสภาจนส่งผลให้ต้องมีการเลื่อนการประชุมสภาฯ เป็นวันที่ 30 ธ.ค. อีกทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงผลักดันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการบุกโจมตีของเครื่องบินรบอิสราเอลในบริเวณฉนวนกาซา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ทำให้ปริมาณซื้อขายเบาบางโดยทั้งเดือนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 12,030.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 14,069.73 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิ 2,039.39 ล้านบาท
คาดการณ์การลงทุนในเดือนมกราคม
ในช่วงเดือนมกราคม SET น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 420-500 จุด ซึ่งถึงแม้จะเกิดการสลับขั้วทางการเมืองในช่วงปลายปี 2551 โดยพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล แต่สถานการณ์การเมืองก็ยังอยู่ในสภาพที่มีปัญหา โดยในช่วงเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาลต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากขั้วการเมืองที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดต่อไป
คำแนะนำสำหรับการลงทุน
จากตัวเลขเศรษฐกิจในเดือน ต.ค. และ พ.ย. ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ อีกทั้งความขัดแย้งทางการเมืองยังคงมีอยู่ ดังนั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวยังมีความน่าสนใจเนื่องจากตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีประกอบกับอัตราเงินปันผลอยู่ในระดับสูง